ม.หอการค้าเปิดโผ 10 ธุรกิจเด่น ช่วงครึ่งหลังปี 65 ชี้ธุรกิจแพทย์-ความงาม-อีคอมเมิร์ซ ครองแชมป์



วันที่ 23 มิ.ย.65 นายวชิร คูณทวีเทพ ผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึง 10 ธุรกิจเด่น ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ว่า จากข้อมูลปฐมภูมิการสำรวจของหอการค้าโพล ทั้งผลการสำรวจผู้ประกอบการรายสาขา, ผลสำรวจสถานภาพธุรกิจไทย และผลสำรวจปัจจัยเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ ประกอบกับข้อมูลทุติยภูมิต่างๆ เช่น ข้อมูลการนำเข้า-ส่งออก, ข้อมูลสินเชื่อธนาคารพาณิชย์, ดัชนีราคาผู้บริโภค, ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม, ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ได้มีเกณฑ์การให้คะแนนธุรกิจใน 5 ด้านรวม 100 คะแนน ประกอบด้วย ยอดขาย, ต้นทุน, กำไรสุทธิ, ผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงและการแข่งขัน, ความต้องการ-กระแสนิยม พบว่า


ธุรกิจดาวเด่นในช่วงครึ่งปีหลัง 10 อันดับแรก คือ

อันดับ 1 ธุรกิจการแพทย์และความงาม ได้ 93.5 คะแนน เท่ากับธุรกิจ E-Commerce

อันดับ 2 ธุรกิจแพลตฟอร์ม ได้ 93.0 คะแนน เท่ากับธุรกิจโลจิสติกส์ เดลิเวอร์รี่ และคลังสินค้า

อันดับ 3 Cloud Storage ได้ 91.0 คะแนน เท่ากับธุรกิจประกัน และธุรกิจอาหารเสริม

อันดับ 4 E-Sports ได้ 90.1 คะแนน เท่ากับธุรกิจ Social Media และ Online Entertainment

อันดับ 5 ธุรกิจรีวิวสินค้า ได้ 89.0 คะแนน เท่ากับธุรกิจ Media และสื่อโฆษณา

อันดับ 6 ธุรกิจเวชภัณฑ์ยา ขายส่งเภสัชภัณฑ์ ได้ 88.5 คะแนน เท่ากับ Fintech, จัดอีเวนท์, คอนเสิร์ต, งานแสดงสินค้า

อันดับ 7 ธุรกิจเครื่องมือแพทย์ ได้ 87.3 คะแนน เท่ากับธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน
อันดับ 8 Modern Trade ได้ 86.2 คะแนน เท่ากับธุรกิจสมุนไพรไทย เช่น กัญชง กัญชา ใบกระท่อม

อันดับ 9 ธุรกิจสถานบันเทิง ได้ 85.7 คะแนน เท่ากับธุรกิจยานยนต์

อันดับ 10 ธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์แนวราบ ได้ 84.8 คะแนน เท่ากับธุรกิจโรงแรม ทัวร์

นายวชิร กล่าวว่า เหตุที่ธุรกิจบริการทางการแพทย์และความงาม ได้เป็นธุรกิจดาวเด่นอันดับ 1 เนื่องจากมีปัจจัยหนุนจากกระแสการให้ความสำคัญในการดูแลสุขภาพ การกินอาหารเพื่อสุขภาพ และการออกกำลังกาย การเติบโตของสังคมผู้สูงอายุ จึงทำให้มีความต้องการในธุรกิจนี้มากขึ้น นอกจากนี้ นโยบายการเปิดประเทศก็คาดว่าจะทำให้การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ จะเริ่มทยอยกลับเข้ามาใช้บริการได้ในปีนี้

อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากภาวะการแข่งขันที่สูง เนื่องจากมีผู้ประกอบการในธุรกิจนี้เพิ่มมากขึ้น ความกังวต่อสถานการณ์เศรษฐกิจ และรายได้ที่ลดลง จึงอาจทำให้กำลังซื้อลดลง นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องการปลอมแปลงทางเวชภัณฑ์ และการหลอกลวงผู้ใช้บริการ จนเป็นเหตุให้เกิดความไม่น่าเชื่อถือ รวมทั้งจำนวนผู้เชี่ยวชาญและบุคลากรทางการแพทย์ที่มีไม่เพียงพอ เป็นต้น

ส่วนธุรกิจ E-Commerce ที่ได้คะแนนในอันดับ 1 เท่ากันนั้น ได้ปัจจัยหนุจากในช่วงโควิดที่ผ่านมา ทำให้ผู้บริโภคปรับพฤติกรรมลดการออกไปใช้จ่ายนอกบ้าน และหันมาซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์มากขึ้น ช่องทางการจำหน่ายที่มีต้นทุนต่ำ สินค้ามีความหลากหลาย และสามารถซื้อขายได้ตลอด 24 ชม. ประกอบกับมีช่องทางชำระเงินที่หลากหลาย สะดวก รวดเร็ว

อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากนโยบายเก็บภาษีธุรกิจค้าขายออนไลน์ ปัญหาเงินเฟ้อสูง ที่ทำให้ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ปัญหาการหลอกขายสินค้าไม่ได้คุณภาพ และการแข่งขันที่รุนแรงของธุรกิจ ทำให้กำไรค่อนข้างต่ำ

ส่วนธุรกิจดาวร่วงในช่วงครึ่งปีหลัง 10 อันดับ ได้แก่

อันดับ 1 ธุรกิจผลิตโทรศัพท์พื้นฐานและเครื่องโทรสาร (แฟ็กซ์) ได้ 8.3 คะแนน

อันดับ 2 ธุรกิจฟอกย้อม ได้ 9.6 คะแนน

อันดับ 3 ธุรกิจหัตถกรรมที่ไม่มีการออกแบบ ได้ 10.3 คะแนน

อันดับ 4 ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ และวารสาร ได้ 11.3 คะแนน

อันดับ 5 ธุรกิจรับ-ส่งสื่อสิ่งพิมพ์ตามบ้านและที่ทำงาน ได้ 11.6 คะแนน

อันดับ 6 ธุรกิจโรงพิมพ์/การพิมพ์ ได้ 12.1 คะแนน

อันดับ 7 ธุรกิจคนกลาง ได้ 12.6 คะแนน เท่ากับธุรกิจผลิต/จำหน่ายดอกไม้-ต้นไม้ประดิษฐ์

อันดับ 8 ธุรกิจ Call Center ได้ 13.6 คะแนน เท่ากับธุรกิจเครื่องปั้นดินเผา เซรามิก

อันดับ 9 ธุรกิจผลิตเสื้อผ้าโหล ได้ 14.5 คะแนน

อันดับ 10 ธุรกิจร้านเช่าหนังสือ-ขายหนังสือ ได้ 18.6 คะแนน เท่ากับธุรกิจร้านถ่ายรูป