รมว.ศึกษาฯ เตรียมพร้อมหน่วยงาน รับเปิดเทอม 2 เร่งฉีดวัคซีนคุณครู สร้างภูมิคุ้มกันแพร่ระบาดใน รร.


วันที่ 25 ต.ค. 2564 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยความคืบหน้าการเตรียมพร้อมเปิดภาคเรียนที่ 2 ว่า ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจความพร้อมการเปิดเรียนรูปแบบ On Site ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 วันที่ 1 พ.ย. ของสถานศึกษาในสังกัด ศธ. โดยจะจัดแถลงข่าวมาตรการเปิดเทอม ในวันที่ 27 ต.ค.นี้ ซึ่งมาตรการในการเปิดภาคเรียนนั้น ศธ.ได้วางแผนร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ซึ่งจะมีรายละเอียดการเปิดเรียนในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้สถานศึกษาไปปฏิบัติตาม

ส่วนที่ผู้ปกครองกังวลว่า เมื่อเปิดเทอมแล้ว มีนักเรียนที่อายุต่ำกว่า 12 ปี ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน จะมีความปลอดภัยหรือไม่ รมว.ศธ. ระบุ ศธ.ได้หารือกับ สธ.มาโดยตลอด ซึ่ง สธ.มีความเห็นว่าเด็กเล็กมีความปลอดภัยมากกว่า เพราะเด็กไม่ต้องเดินทางมาโรงเรียนเอง เนื่องจากผู้ปกครองมาส่ง อีกทั้งเด็กมีภูมิคุ้มกันที่ดีกว่าผู้ใหญ่

น.ส.ตรีนุช กล่าวว่า สิ่งที่ ศธ.เป็นห่วงและต้องการผลักดันอย่างมาก คือ การเร่งให้ครูได้รับวัคซีนให้ได้มากที่สุด เพราะครูเป็นผู้ใกล้ชิดกับนักเรียนที่สุด ดังนั้นการจะเปิดเรียนได้ต้องดูจำนวนครูที่ได้รับวัคซีนด้วย ซึ่งจะมีความชัดเจนมากขึ้นว่าครูแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะครูในพื้นที่สีแดงเข้ม และพื้นที่สีแดง ควรจะได้รับวัคซีนจำนวนเท่าใดถึงจะสามารถเปิดเรียนในรูปแบบ On Site ได้ ขอให้รอรายละเอียดในวันที่ 27 ต.ค.

 

“ยืนยันว่าในวันที่ 1 พ.ย. จะเปิดเทอมแน่นอน เพียงว่าแต่ละพื้นที่จะสามารถเปิดเรียนในรูปแบบไหนขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของแต่ละพื้นที่ ส่วนความคืบหน้าการฉีดวัคซีน ขณะนี้พบว่านักเรียนได้รับวัคซีนมากกว่า 2 ล้านคนแล้ว นอกจากนี้ยังมีผู้ปกครองทยอยแจ้งความประสงค์ให้นักเรียนมาฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนครูได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 กว่า 70-80% แล้ว ซึ่งขณะนี้ ศธ.อยู่ระหว่างผลักดันให้ครูได้รับวัคซีนให้ครบทั้ง 2 เข็ม ให้ได้มากที่สุด” รมว.ศธ. กล่าว

 

น.ส.ตรีนุช กล่าวว่า ส่วนเรื่องที่ขณะนี้มีโรงเรียนเอกชนบางแห่งให้ผู้ปกครองซื้อ ATK เพื่อตรวจนักเรียนก่อนเปิดเรียนนั้น ทาง ศธ.หารือกับ สธ.ในประเด็นนี้ มาโดยตลอด เบื้องต้นคาดว่าการใช้ ATK นั้น อาจจะไม่ใช่ปัจจัยหลักในการพิจารณาเปิดภาคเรียน แต่จะเน้นจำนวนครูที่ได้รับวัคซีนเป็นหลักมากกว่า ส่วนการใช้ ATK อาจจะนำมาใช้ในกรณีที่พบผู้ติดเชื้อแล้วต้องมาสุ่มตรวจ หรือนำมาใช้ในพื้นที่สุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตาม ขอให้รอความชัดเจนอีกครั้ง