ศาลอุทธรณ์พิพากษาเเก้โทษจำคุก 'สนธิญาณ' 1 ปี ให้การเป็นประโยชน์ ลดเหลือ 8 เดือน ไม่รอลงอาญา ขัดขวางการเลือกตั้ง 'เขตดุสิต' พร้อมตัดสิทธิ์เลือกตั้ง 5 ปี  ฟาก 'สกลธี-สมบัติ-เสรี' รอด ไม่ปรากฎร่วมขัดขวาง

 

วันที่ 20 ต.ค. 2564 นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม อายุ 59 ปี แกนนำ กปปส. และผู้บริหารท็อปนิวส์, นายสกลธี ภัททิยกุล อายุ 44 ปี อดีต ส.ส.กทม.ร่วมชุมนุม, นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อายุ 70 ปี อดีตอธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และอดีตประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง และสภาปฏิรูปการเมือง (สปช.) และนายเสรี วงศ์มณฑา อายุ 72 ปี นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนและการตลาด เดินทางมาที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก โดยทั้ง 4 คนตกเป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันเป็นกบฏ, อั้งยี่ , ซ่องโจร, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปฯ, ยุยงให้ร่วมกันหยุดงาน การร่วมกันปิดงานงดจ้างเพื่อบังคับรัฐบาล และข้อหาอื่นรวม 8 ข้อหา โดยวันนี้ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีกบฏ กปปส.สำนวนแรก

สำหรับคดีกบฏ กปปส.สำนวนแรกนี้ อัยการยื่นฟ้อง ตั้งแต่ปี 2557 สืบเนื่องจากการร่วมชุมนุมกันของ กปปส.ที่มีนายสุเทพ เป็นผู้นำการชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 23 พ.ย.2556 - 1 พ.ค.2557 ซึ่งมีการพาผู้ชุมนุมบุกรุกปิดสถานที่ราชการหลายแห่ง รวมทั้งขัดขวางการเลือกตั้ง ซึ่งท้ายคำฟ้องอัยการโจทก์ยังได้ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งของจำเลยด้วยมีกำหนด 5 ปี ขณะที่จำเลยทั้ง 4 รายให้การปฏิเสธทุกข้อหาพร้อมตั้งทนายความสู้คดี ระหว่างพิจารณาคดีจำเลยทั้งสี่ก็ได้รับการปล่อยชั่วคราว ซึ่งคดีเริ่มสืบพยานตั้งแต่ปี 2558-2562

โดยวันนี้ จำเลยทั้งสี่เดินทางมาศาลพร้อมด้วยเเกนนำ กปปส.หลายคน อาทิ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส., นายถาวร เสนเนียม และนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ที่เดินทางมาให้กำลังใจ โดยนายสุเทพ เปิดเผยว่า วันนี้เดินทางมาให้กำลังใจกับจำเลยทั้ง 4 คน และพร้อมน้อมรับตามคำพิพากษาของศาล แม้ว่าจะเป็นศาลใดก็ตาม เชื่อว่ามีการตัดสินไปตามหลักของกระบวนการยุติธรรม ส่วนในคดีกบฏสำนวนของตัวเองนั้นก็เตรียมยื่นอุทธรณ์คดีในเดือน พ.ย.นี้

ทั้งนี้ มีรายงานว่าศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยที่หนึ่ง คือนายสนธิญาณ กระทำความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.เเละ สว. กรณีร่วมกับนายสำราญ รอดเพชร ขัดขวางการเลือกตั้งล่วงหน้าที่ โรงเรียนสุโขทัย เขตดุสิต ให้จำคุก 1 ปี แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 8 เดือน ไม่รอลงอาญา รวมถึงมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง 5 ปี ส่วนจำเลยที 2-4 โจทก์ไม่ได้ร่วมนำสืบว่าได้ร่วมกันไปขัดขวางการเลือกตั้ง อีกทั้งไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่าจำเลยที่ 2-4 ได้ร่วมขัดขวางการเลือกตั้ง ส่วนอุทธรณ์โจทก์ข้ออื่นไม่เป็นสาระสำคัญ ที่เเก้เฉพาะจำเลยที่ 1 นอกนั้นให้เป็นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยมีรายงานเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ทนายความเตรียมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 100,000 บาท ยื่นประกันระหว่างฎีกา

คดีนี้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 ก.ค.2562 พิพากษายกฟ้องโดยพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์-จำเลย นำสืบหักล้างกันแล้ว เห็นว่า พยานหลักฐานที่อัยการโจทก์นำสืบมารับฟังได้เพียงว่าจำเลยทั้ง 4 รายได้เข้าร่วมชุมนุม กับ กปปส. แต่ไม่ได้เป็นแกนนำที่สั่งการผู้ชุมนุมหรือขึ้นปราศรัยสั่งการให้กระทำการรุนแรง โดยการชุมนุมของ กปปส.ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไว้แล้ว ว่าการชุมนุมของ กปปส. สืบเนื่องมาจากการแสดงความคิดเห็น ซึ่งเป็นสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 63 ซึ่งสืบเนื่องจากเหตุที่คัดค้านการออกร่างกฎหมายนิรโทษกรรมและไม่พอใจการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงยังไม่พอฟังได้ว่าจำเลยทั้งสี่ได้กระทำความผิดตามฟ้องทั้ง 8 ข้อหา จึงพิพากษายกฟ้อง