กางเเนวคิด Dr. Asbjørn ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิฯ นอร์เวย์ กับความเป็นไปได้ในการปรับวิธีสอบสวนผู้ต้องสงสัยเป็นวิธี "การสัมภาษณ์เพื่อหาความจริง" เเทน "คำรับสารภาพ"

 

“การทรมานเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนในระดับรากฐานอย่างชัดเจน และขัดต่อหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ ส่วนวิธีการครอบงำทางจิตวิทยาและเทคนิคการสืบสวนสอบสวนแบบขู่บังคับเพื่อให้ได้คำสารภาพนั้น แม้จะดูไม่ร้ายแรงเมื่อเทียบกับการทรมาน แต่ก็เป็นเพียงการปรับปรุงเทคนิควิธีให้แตกต่างไป แต่ยังคงมุ่งบรรลุเป้าหมายเดิม คือทำให้ผู้ต้องสงสัยรับสารภาพ วิธีคิดของผู้ทำหน้าที่สืบสวนยังไม่ได้เปลี่ยนไป ไม่ได้ส่งเสริมอะไร แถมยังบ่มเพาะเชื้อแห่งการขู่บังคับ”

Dr. Asbjørn Rachlew ผู้เชี่ยวชาญศูนย์ส่งเสริมสิทธิมนุษยชนนอร์เวย์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยออสโล  ผู้มีประสบการณ์ด้านงานสืบสวนสอบสวนมากว่า 10 ปี เคยสอบปากคำทั้งเหยื่อ พยาน และผู้ต้องสงสัยในคดีอาญามามากกว่าพันครั้ง เป็นที่ปรึกษา เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย และเป็นผู้สอนในสถาบันการศึกษาของตำรวจหลายแห่งทั่วโลก เผยถึงแนวคิดที่มุ่งปรับเปลี่ยนวิธีปฏิบัติในการสอบสวนผู้ต้องสงสัย จากวิธีการสอบปากคำแบบเดิม ที่มุ่งเน้นเพื่อให้ได้ “คำรับสารภาพ” จากผู้ต้องสงสัย ไปเป็นวิธีการใหม่ที่เรียกว่า “การสัมภาษณ์เพื่อหาความจริง” (Investigative Interview) ในเวทีเสวนา TIJ Forum หัวข้อ “Way Out หนทางใหม่สู่การค้นหาความจริง” ซึ่งจัดขึ้นโดย สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ร่วมกับ ศูนย์ส่งเสริมสิทธิมนุษยชนนอร์เวย์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยออสโล เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2564  

การจะเปลี่ยนวิธีการสอบปากคำเป็นแนวทางใหม่จำเป็นต้องเริ่มจาก “เปลี่ยนวิธีคิดของผู้ที่หน้าที่สอบสวนให้มองต่างไปจากเดิม  ต้องให้ความรู้และวิธีคิดที่จะทำให้พวกเขาพยายามตั้งสมมติฐานทางเลือกแบบต่าง ๆ ขึ้นมาก่อน แล้วจึงไล่ตรวจสอบสมมติฐานเหล่านั้น แทนที่จะวิ่งตามหาแต่เฉพาะข้อมูลที่มุ่งยืนยันความผิดของผู้ต้องสงสัย (ตามสมมติฐานที่จำกัดแบบเดิม)” Dr. Asbjørn  กล่าว

เมื่อไปทบทวนดูวิธีการทำงานของตำรวจนอร์เวย์ในอดีต Dr. Asbjørn ค้นพบว่า ถึงแม้จะมีความพยายามเปลี่ยนแปลงจากวิธีการสอบปากคำแบบเดิม ไปใช้วิธีที่เรียกว่า “การครอบงำทางจิตวิทยาเพื่อให้ได้คำรับสารภาพ” แต่นั่นก็ยังหวังผลเพียงเพื่อต้องการให้ได้ “คำสารภาพ” จากผู้ต้องสงสัย ไม่ได้มีความเห็นอกเห็นใจหรือเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์แต่อย่างใด และที่อันตรายมากคือแนวทางการสอบปากคำของตำรวจนี้ ยังถือว่าเป็นข้อมูลความลับเฉพาะสำหรับตำรวจและเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องเท่านั้น

“คุณลองนึกดูว่า หากนี่คือโรงพยาบาล ที่เต็มไปด้วยแพทย์แต่ละคนที่ต่างก็ผ่าตัดคนไข้กันด้วยวิธีโบราณและเก็บงำกันเป็นความลับ ต่างคนต่างมีกระบวนการของตัวเองที่แตกต่างกันสิ้นเชิง จะมีประชาชนคนไหนยอมเชื่อถือในองค์กรแบบนั้นบ้าง (สภาพเช่นนั้น) ย่อมไม่ส่งผลดีต่อวิชาชีพที่ต้องอาศัยความไว้วางใจจากสาธารณชน และคนคาดหวังว่าต้องเป็นมืออาชีพและยุติธรรม ดังนั้นตำรวจในสังคมประชาธิปไตยที่มุ่งทำงานเพื่อหลักนิติธรรม จึงไม่สามารถมีเทคนิคการสอบสวนแบบลับๆได้” Dr. Asbjørn  กล่าว

ส่วน “การสัมภาษณ์เพื่อหาความจริง” (Investigative Interview) เป็นวิธีการที่ทำให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือมากขึ้น โดยมีผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์นานถึง 30 ปี เป็นเครื่องยืนยันว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าวิธีการสอบสวนเพื่อให้ได้มาซึ่งคำสารภาพแบบเดิม  แนวคิดและปรัชญาที่เป็นรากฐานของวิธีการนี้ คือ
การสอบสวนโดยยึดหลักการ “ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์”

Dr. Asbjørn ได้ริเริ่มโครงการฝึกอบรม “การสัมภาษณ์เพื่อหาความจริง” อย่างเป็นทางการขึ้นครั้งแรกที่นอร์เวย์ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากการทำงานของตำรวจในสหราชอาณาจักร ซึ่งนับเป็นประเทศแรกในโลกที่เปลี่ยนแปลงการสอบสวน โดยได้ตั้งชื่อหลักสูตรอบรมนี้ว่า CREATIV ซึ่งสื่อถึงค่านิยมหรือหลักการของหลักสูตร

หลัก CREATIV ประกอบด้วย การให้ความสำคัญกับการสื่อสาร (Communication) การยึดหลักนิติธรรม (Rule of law) จริยธรรมและความเห็นอกเห็นใจ (Ethics and Empathy) การฟังอย่างตั้งใจ (Active Consciousness) การสร้างความเชื่อใจ (Trust) การให้ความสำคัญกับการเปิดรับข้อมูล (Information) และการตรวจสอบความถูกต้อง (Verification) 

โปรแกรมการฝึกอบรม มีทั้งการบรรยายทฤษฎีและวิดีโอแบบฝึกหัด เนื้อหาส่วนหนึ่งกล่าวถึงหลักการสำคัญในการสอบปากคำผู้ต้องสงสัย ซึ่งคณะกรรมาธิการต่อต้านการทรมานของสภายุโรป ได้กำหนดแนวทางเป็นมาตรฐานไว้ตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2545 ว่า “การซักถามผู้ต้องสงสัยในคดีอาญาถือเป็นงานของผู้ชำนาญการเฉพาะทาง ผู้ปฏิบัติงานต้องผ่านการฝึกอบรมมาโดยเฉพาะ” เนื้อหาหลักสูตรยังมีส่วนที่เกี่ยวกับทฤษฎีความจำของมนุษย์ จิตวิทยาเกี่ยวกับพยานผู้เห็นเหตุการณ์ ทฤษฎีการตัดสินใจ ทักษะการสื่อสาร ประเภทของคำสารภาพที่เป็นเท็จ และแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดคำสารภาพที่เป็นเท็จ ซึ่งต้องเน้นย้ำไปถึงความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นเพื่อให้เกิดกระบวนการพัฒนา

การบรรยายส่วนที่สำคัญที่สุดในหลักสูตร คือ การฝึกเทคนิคการสัมภาษณ์ ซึ่งมีฐานมาจากโมเดลที่เรียกว่า PEACE ของสหราชอาณาจักร โดยการแบ่งขั้นตอนการซักถามผู้ต้องสงสัยออกเป็นการวางแผนและการเตรียมการ ทั้งการเตรียมร่างกาย เตรียมการเกี่ยวกับคดี และเตรียมการเรื่องสภาพทางจิตใจ (Planning and Preparation) การผูกไมตรีและการอธิบาย (Engage and Explain) การเปิดโอกาสให้ผู้ต้องสงสัยเล่าเหตุการณ์หรือตอบคำถาม (Account) การจบการซักถาม (Closure) และการประเมินผล (Evaluation) 

อย่างไรก็ดี เมื่อนำวิธีการดังกล่าวมาใช้ ก็มีผู้โต้แย้งว่าวิธีแบบนี้อาจจะใช้ได้ดีเฉพาะแต่ในประเทศนอร์เวย์ ซึ่งเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่สงบสุขและมีอัตราอาชญากรรมต่ำ แต่ใช้ไม่ได้จริงในประเทศขนาดใหญ่ที่มีอัตราอาชญากรรมสูง   Dr. Asbjørn ยืนยันว่าไม่เป็นความจริงเลย เพราะวิธีการ “สัมภาษณ์เพื่อหาความจริง” ใช้ได้ผลสำเร็จมาแล้วในคดีฆาตกรรมหลายร้อยคดี

ตัวอย่างหนึ่งคือการใช้วิธีการนี้ในการสืบสวนสอบสวน “เหตุก่อการร้าย” ในนอร์เวย์ เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2011 ซึ่งทำให้กรุงออสโลกลายเป็น “พื้นที่สงคราม” มีการวางระเบิดในอาคารของรัฐบาลหลายแห่ง รวมถึงที่เกาะอูเตอยา ซึ่งมีเด็กและเยาวชนรวมตัวกันอยู่เพื่อทำกิจกรรมเข้าค่ายพลเมือง ผู้ก่อการร้ายไล่ฆ่าเด็กให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

วันนั้นรัฐบาลของนอร์เวย์ ได้ออกแถลงการณ์สำคัญให้ประชาชนรับทราบ เนื้อหาในแถลงการณ์ระบุว่า

“ในวันพรุ่งนี้นอร์เวย์จะยังเป็นดินแดนในแบบเดิมที่ทุกคนรู้จัก จะไม่มีใครสามารถพรากเอาคุณค่าหรือประชาธิปไตยของเราไปได้” 

“แถลงการณ์นี้ สำหรับผมในฐานะที่เป็นผู้กำกับดูแลการสัมภาษณ์ผู้ต้องสงสัย เหมือนกับเป็นคำสั่งโดยตรงจากรัฐบาลให้เรายึดมั่นในสิ่งที่ฝึกฝนมา ค่านิยมของเราคืออะไร เรามีคำตัดสินของศาลสูง เรามีกฎหมายรัฐธรรมนูญ เรามีอนุสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนทั้งหลาย แต่กฎหมายและค่านิยมทั้งหมดเหล่านี้ล้วนปลูกฝังอยู่ในระเบียบวิธีการของเรา แน่นอนว่ามันคือคุณค่าที่ปรากฏอยู่บนแผ่นกระดาษ แต่อีกด้านหนึ่งคือการนำเอาคุณค่าเหล่านั้นไปสู่การปฏิบัติในสถานการณ์ที่มีความกดดันสูง” Dr. Asbjørn กล่าว

ปัจจุบันหลักสูตรการอบรม “การสัมภาษณ์เพื่อหาความจริง” ได้รับความสนใจจากหลายประเทศทั่วโลก มีการอบรมอย่างจริงจังในอินโดนีเซีย มีหลักสูตรที่ปรับเป็นภาษาเวียดนาม ภาษาจีน และกำลังได้รับความสนใจจากประเทศเลบานอน รวมทั้งประเทศไทย ซึ่งได้รับความร่วมมือจาก TIJ ในการประสานงานจัดการฝึกอบรมร่วมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม หรือ DSI ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 4 ปีแล้ว และ
องค์การสหประชาชาติอยู่ในระหว่างการจัดทำแนวทางสากลสำหรับการสอบปากคำโดยเจ้าหน้าที่ และได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากทั่วทุกมุมโลกเข้ามาเพื่อรับฟังและตัดสินใจว่าจะเลือกทิศทางที่อยู่บนฐานของวิทยาศาสตร์ ตั้งมั่นในสิทธิมนุษยชน โดยวิธี “การสัมภาษณ์เพื่อหาความจริง” มีผลการวิจัยยืนยันประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรม รวมทั้งจะมีการเปิดตัว e-learning การสัมภาษณ์เพื่อหาความจริง ที่พัฒนาร่วมกับสำนักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ในช่วงเดือน ธ.ค.นี้ ด้วย