รายงานพิเศษ : 16 ต.ค. วันอาหารโลก ปลุกพลังคนไทยกินอาหารปลอดภัย ตระหนักถึงพิษภัยของสารเคมี เรียนรู้สุขภาวะ หลังผลสำรวจพบอาหารในตลาด 90% มีการปนเปื้อน

 

"ข้าวทุกจาน อาหารทุกอย่าง" นี่คือประโยคที่สะท้อนถึงการเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตเเละวัฒนธรรมอย่างเเยกจากกันไม่ได้ 

นับตั้งเเต่พุทธกาล 'คนไท' หรือ 'คนไทย' กินข้าวเป็นอาหารหลัก เเละนับถือยกย่องชาวนา ผู้ผลิตข้าวให้เเก่มวลมนุษยชนาติ ให้เป็น 'กระดูกสันหลังของชาติ'

หากทว่า ปัจจุบันคนไทยเริ่มบริโภคข้าวเเละผักน้อยลง เเละหันไปพึ่งพาการกินอาหารในระบบอุตสาหกรรมมากขึ้น เช่น ฟาสต์ฟู้ด อาหารเเช่เเข็ง ด้วยเหตุนี้ในทัศนะของนักวิชาการจึงเห็นว่า ควรต้องเร่งสร้างความตระหนักในการเรียนรู้อาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น

ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และรักษาการผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ (สำนัก 5) บอกว่า เกษตรกรผู้ผลิตต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคให้มากขึ้น ลดการใช้สารเคมีในแปลงเกษตรของตัวเองลง ส่วนผู้บริโภคนั้น ต้องระลึกอยู่เสมอว่ามีพลังอยู่ในตัว สามารถกำหนดได้ว่าจะกินอะไรให้มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งพลังนี้จะนำไปสู่การกดดันตลาดให้มีกระบวนการผลิตที่ปลอดภัยต่อคนกินมากขึ้น

 

“เมื่อผู้ผลิตและผู้บริโภคมีการตื่นรู้ในเรื่องของการกิน เท่ากับว่าสังคมเราได้มีพลเมืองอาหาร (Food Citizenship) ที่ตระหนักถึงศักยภาพ สิทธิ หน้าที่ ในการเข้าถึงและบริโภคอาหารที่มีสุขภาวะ โดยสร้างการเปลี่ยนแปลงทั้งต่อตนเองและสังคมแล้ว” ผู้ช่วยผู้จัดการ สสส. กล่าว

 

ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าวด้วยว่า ท่ามกลางวิกฤตและความท้าทายจากภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อการผลิตอาหาร ความเหลื่อมล้ำและการเอาเปรียบจากราคาผลผลิตที่ไม่เป็นธรรมต่อเกษตรกร รวมถึงโรคระบาดใหม่เป็นอุปสรรคต่อการขนส่ง ซึ่งปัญหาเหล่านี้เป็นที่มาของแผนการดำเนินงานในระยะ 3 ปี (2565-2567) ของแผนอาหาร สำนักสร้างเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สสส. ที่จะมุ่งสร้างความรอบรู้ด้านอาหารแก่พลเมืองอาหารให้มีความตระหนักในการบริโภคให้มากขึ้น

นางวัลลภา แวน วิลเลียนส์วาร์ด ผู้ดูแลโครงการสนับสนุนวิชาการและการบูรณาการระบบอาหารสุขภาวะสู่การสร้างสรรค์พลเมืองอาหาร ให้ข้อมูลว่า ขณะนี้ผู้บริโภคอยู่ในระบบที่เรียกได้ว่าแตกเป็นเสี่ยง ๆ เพราะอาหารที่รับประทานทุกวันนี้ แทบจะไม่มีความปลอดภัย ดังเช่น การสำรวจของกลุ่มไทยแพน พบว่า ร้อยละ 90 ของอาหารที่อยู่ตามท้องตลาดมีสารเคมีเจือปนอยู่แทบทุกรายการ

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ ผักคะน้า ซึ่งผักชนิดนี้มีอายุ 45 วัน จึงจะเก็บขายได้ แต่กลับพบว่าใช้สารเคมีถึง 30 ครั้ง

ความไม่ปลอดภัยในอาหารยังส่งผลต่อสุขภาพร่างกายของเด็ก ๆ ด้วย โดยมูลนิธิการศึกษาไทยได้เก็บตัวอย่างเลือดของนักเรียนในโรงเรียน 4 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ สกลนคร ปทุมธานี และพังงา พบว่า มีนักเรียนถึงร้อยละ 63 มีสารเคมีทางการเกษตรปะปนอยู่ในเลือด

นอกจากอาหารที่กินจะไม่ปลอดภัยแล้ว ยังไม่มีคุณค่าทางโภชนาการด้วย เพราะกินแป้งและน้ำตาลเป็นหลักทำให้ทุกวันนี้เด็กไทยอ้วนเกินกว่า 10% ตามที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ

 

“พฤติกรรมการกินของเราร้อยละ 40 มีผลต่อโลกอย่างชัดเจน หากเรากินให้หลากหลาย กินอย่างมีคุณภาพ และไม่กินซ้ำซากจำเจ หรือกินอาหารที่อยู่ในระบบอุตสาหกรรมมากเกินไป ก็จะช่วยโลกได้มาก เหตุนี้เราต้องไม่ลืมว่าเราสามารถออกแบบการกินของเราได้ กินให้มีประโยชน์และกินอย่างรู้คุณค่า เราก็เห็นว่าระบบอาหารที่เรากินอยู่ทุกวันนี้เชื่อมโยงกับอะไรบ้าง” นางวัลลภา กล่าว

 

ด้าน ดร.เพ็ญ สุขมาก อาจารย์ประจำสถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ จ.สงขลา ในฐานะผู้จัดการโครงการขับเคลื่อนระบบอาหารเพื่อการสร้างเสริมสุขภาวะในจังหวัดสงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ผู้ขับเคลื่อนงานด้านความมั่นคงทางอาหารเรื่อง “พืชร่วมยาง” กล่าวว่า การปลุกพลังพลเมืองเพื่อมาร่วมกันขับเคลื่อนระบบอาหารให้ยั่งยืนนั้น ต้องชี้ให้เกษตรกรเห็นจุดวิกฤตหรือความทุกข์ที่ชาวบ้านกำลังเผชิญอยู่ว่าเกิดจากอะไร อย่างกรณีที่เกิดขึ้นกับเกษตรกรชาวสวนยางในพื้นที่ภาคใต้ มาจากราคายางตกต่ำ เกษตรกรก็ประสบความยากลำบากมีรายได้ไม่เพียงพอ บางรายไม่มีเงินที่จะซื้อกินข้าว สาเหตุสำคัญคือการใช้พื้นที่สำหรับปลูกพืชเชิงเดี่ยว ปลูกยางอย่างเดียวจึงทำให้เสียโอกาสในการปลูกพืชอย่างอื่น โดยเฉพาะพืชอาหาร

ด้วยเหตุนี้ การชี้ให้เห็นถึงจุดวิกฤตจึงช่วยให้การชักชวนมาสร้างความเปลี่ยนแปลงด้วยกันนั้น เป็นไปได้ง่าย เพราะเห็นความทุกข์จากปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งทางออกอย่างยั่งยืนของเกษตรกรชาวสวนยางที่เข้าร่วมโครงการ คือ การปลูกพืชร่วมยาง อย่าง ขิง ข่า ขมิ้น ผักพื้นบ้าน และพืชสมุนไพรบางชนิด รวมถึงผลไม้อย่าง ระกำ สละ ลองกอง ก็สามารถปลูกได้ นับเป็นการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจฐานรากที่ให้ความมั่นคงทางอาหารในชุมชนด้วย

*****

วันอาหารโลก 16 ต.ค. ปีนี้ ภาคีเครือข่ายฯ จะคาดหวังว่า จะสามารถปลุกพลังให้คนไทยเเละชาวโลกตระหนักถึงพิษภัยของการบริโภคอาหารที่ไม่ปลอดภัย เเละหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาวะให้มากขึ้น