กรมควบคุมโรค เร่งฉีดวัคซีนโควิดเข็ม 1 ให้ครบ 50% ต.ค.2564 เผย 24 ก.ย.นี้ ระดมฉีด 1 ล้านเข็ม แนะ ปชช.ตรวจสอบข้อความเตรียมฉีดกระตุ้นเข็มที่ 3 ส่วนนักเรียน 12-17 ปี เริ่มฉีดไฟเซอร์เดือนหน้า

 

นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์ของโรคโควิด-19 ว่าภาพรวมขณะนี้ดีขึ้น ประชาชนสามารถใช้ชีวิตวิถีใหม่อยู่กับสถานการณ์ของโรคโควิดได้อย่างเคร่งครัดตามมาตรการป้องกัน เช่น การสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ รักษาระยะห่าง งดไปในสถานที่แออัด  ส่วนการฉีดวัคซีนโควิดตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.-16 ก.ย.2564 ฉีดวัคซีนรวม 43,342,103 โดส โดยฉีดครบ 2 เข็ม จำนวน 14,285,995 โดส และฉีดเข็มที่ 1 ไปแล้ว จำนวน 28,436,015 โดส ซึ่งฉีดได้ประมาณ 9 แสนโดสต่อวัน พร้อมทั้งเร่งรัดให้ฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 ให้ได้ ร้อยละ 50 อย่างช้าภายในสิ้น ต.ค.นี้ ตามเป้าของกระทรวงสาธารณสุข

 

"กระทรวงสาธารณสุข เตรียมแผนระดมฉีดวัคซีนโควิดให้ประชาชน 1 ล้านโดสเป็นอย่างน้อยในวันมหิดล 24 ก.ย.2564 เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนที่ยังไม่ได้ฉีด ขอให้รีบรับบริการฉีดวัคซีนที่สถานบริการใกล้บ้าน" นายแพทย์โอภาส กล่าว

 

อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวอีกว่า ขณะนี้วัคซีนที่ใช้ในประเทศไทยมี 4 ชนิด คือ ซิโนแวค ซิโนฟาร์ม แอสตร้าเซนเนก้า และไฟเซอร์ ซึ่งผ่านการรับรองทั้งประสิทธิภาพและความปลอดภัยจากองค์การอนามัยโลกและสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. โดยวัคซีนหลักที่ใช้ฉีดเข็มที่ 1 คือ ซิโนแวคและเข็มที่ 2 แอสตร้าเซนเนก้า ห่างกัน 3-4 สัปดาห์

จากผลการศึกษาวิจัยในประเทศพบว่า วัคซีนทั้งสองชนิดนี้จะเสริมภูมิคุ้มกันในร่างกายได้ดียิ่งขึ้น ใช้เวลาสั้นกว่าวัคซีนสูตรปกติ รายใดที่พบว่ามีปัญหาแพ้วัคซีนเข็มแรก เช่น มีผื่นขึ้นบวมแดงหรือหายใจติดขัด จะเปลี่ยนชนิดที่มีความปลอดภัยแทน ทั้งนี้ จะฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 ให้แก่ผู้ที่ฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็มตั้งแต่ช่วงเดือนมี.ค.-พ.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากภูมิคุ้มกันเริ่มลดลงหลังฉีด 3-6 เดือน

โดยประชาชนที่จะเข้ารับการฉีด จะได้รับการแจ้งข้อความ SMS ผ่านทางแอปพลิเคชันหมอพร้อม หรือลงทะเบียนที่สถานพยาบาลเดิม และเข้ารับบริการที่จุดฉีดวัคซีนกลางในแต่ละพื้นที่กำหนด เช่น ในกรุงเทพฯ ที่สถานีกลางบางซื่อ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

ส่วนกลุ่มนักเรียน 12-17 ปี ที่จะเริ่มฉีดไฟเซอร์เข็มที่ 1 ในช่วงต้น ต.ค.นี้ จะคำนึงถึงประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และเป็นไปตามเจตจำนงของผู้ปกครองเป็นสำคัญ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการบริหารจัดการระบบการฉีดให้รัดกุมและมีความปลอดภัยสูงสุด