สมเด็จพระสังฆราช งดเสด็จออกประทานพระวโรกาสให้พระเถรานุเถระเฝ้าถวายสักการะวันเข้าพรรษา ไม่อนุญาต ปชช. เข้าร่วมพิธีอาสาฬหบูชา ตัดบาตรดอกไม้วัดราชบพิธฯ เลี่ยงโควิด-19 พร้อมประทานพระคติธรรม ให้มั่นคงเเน่วเเน่ 'สัมมาวาจา' บำเพ็ญคุณประโยชน์ เริ่มจากตนเอง
 
 
ทีมข่าวออนไลน์ช่อง 8 รายงานว่า วันที่ 23 ก.ค. 2564 มีประกาศสำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ที่ 4 / 2564 เรื่อง การจัดกิจกรรมเนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา พุทธศักราช 2564 ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม รายละเอียด ดังนี้ 
 
อนุสนธิ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ยังคงรุนแรงต่อเนื่อง นั้น วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามและสำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช จึงกำหนดแนวทางการจัดกิจกรรมเนื่องในเทศกาลเข้าพรรษาของพระอาราม อนุโลมแนวปฏิบัติของคณะธรรมยุต และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นการเฉพาะสำหรับเทศกาลเข้าพรรษา พุทธศักราช 2564 ดังต่อไปนี้
 
1. เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงงดเสด็จออกประทานพระวโรกาสให้พระเถรานุเถระเฝ้าถวายสักการะทำสามีจิกรรม ทั้งนี้ ในดิถีแรม 1 ค่ำ เดือน 8-8 ตรงกับวันอาทิตย์ ที่ 25 ก.ค.2564 วัดต่าง ๆ สามารถจัดที่ประดิษฐานพระรูปเจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช ในพระอุโบสถ อุโบสถ หรือสถานที่ที่เหมาะสม แล้วกระทำสามีจิกรรมต่อหน้าพระรูป โดยมิต้องเดินทางออกนอกวัด
 
2. งดการให้บุคคลภายนอกเข้าร่วมพิธีอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา และงดพิธีตักบาตรดอกไม้ ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
 
3. ในดิถีแรม 5 ค่ำเดือน 8-8 ตรงกับวันพฤหัสบดี ที่ 29 ก.ค.2564 วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม จะประดิษฐานพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช ณ พระอุโบสถ แล้วทำวัตรเย็น เจริญพระพุทธมนต์ด้วยพระสูตรและพระปริตรตามระเบียบ แล้วเจริญจิตภาวนาถวายพระราชกุศล ตามประเพณีคณะธรรมยุต เป็นการภายใน
 
ทั้งนี้ ความทราบฝ่าพระบาทแล้ว
 
ในวันเดียวกัน เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้ประทานพระคติธรรม เนื่องในวันอาสาฬหบูชา วันเสาร์ ที่ 24 ก.ค. 2564 ความว่า
 
ดิถีอาสาฬหบูชาได้เวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่งแล้ว สาธุชนทั้งหลาย ต่างร่วมกันบำเพ็ญกุศลเป็นพิเศษเพื่อรำลึกถึงวันที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงปฐมเทศนา โปรดปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน อันเป็นการเริ่มประกาศพระศาสนา กระทั่งบังเกิดมีพระอริยสงฆ์ ครบถ้วนพร้อมเป็น “พระรัตนตรัย” นับเป็นนักขัตฤกษ์สำคัญ และยังสรรค์สร้างเกียรติประวัติสำหรับราชอาณาจักรไทย ด้วยเป็นประเทศแรกในโลก ที่ดำริริเริ่มให้มีการบูชาพิเศษในดิถีเพ็ญอาสาฬหะ เมื่อรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ประกาศความเป็นเมืองแห่งพระพุทธธรรม ซึ่งช่วยค้ำชูจิตใจของชนในชาติให้ร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา
 
ปฐมเทศนาที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้นั้น คือ “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” ทรงชี้บอกวิถีทางแห่งการดับเพลิงกิเลสให้สูญไปโดยสิ้นเชิง ด้วยมรรคมีองค์ 8 เรียกอีกอย่างว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา หรือการลงมือปฏิบัติเพื่อให้พ้นจากทุกข์ ทั้งนี้ ท่ามกลางภาวการณ์ในโลกปัจจุบัน ขอพุทธบริษัทพึงหันมาพิจารณาทบทวนมรรควิธีประการสำคัญประการหนึ่งในองค์ 8 นั้น ได้แก่ “สัมมาวาจา” ซึ่งหมายถึงการดำรงคำสัตย์ กล่าวแต่คำประสานน้ำใจซึ่งกันและกัน มีวาจาไพเราะจับใจ และกล่าวแต่สิ่งที่เปี่ยมด้วยสารัตถะ หากจงช่วยกันใช้ฉันทวาจา ให้สมาชิกในสังคมตั้งแต่ระดับครอบครัว ไปจนถึงชุมชน และประเทศชาติ เต็มไปด้วยสารประโยชน์ในกาลทั้งปวง ชวนกันเจริญ เมตตาวจีกรรม ซึ่งจะชักพาให้ตนและสังคมส่วนรวมมีความวัฒนาสถาพร
 
วันอาสาฬหบูชา นอกจากจะเตือนใจให้รำลึกถึงคุณพระรัตนตรัย อันเป็นสรณะสูงสุดของพุทธบริษัทแล้ว ยังนำพาให้เราทั้งหลายมั่นคงแน่วแน่ด้วยปณิธานแห่ง “สัมมาวาจา” เพราะฉะนั้น หากท่านประสงค์ให้สังคมไทยไพบูลย์ด้วยสันติสุข ขอจงเร่งเจริญรอยตามพระยุคลบาทของพระพุทธองค์ ผู้ทรงพระมหากรุณาประทานอริยอัฏฐังคิกมรรคไว้เป็นหนทาง พร้อมเพรียงกันบำเพ็ญคุณประโยชน์ โดยเริ่มที่ตนเอง จากการมี “สัมมาวาจา” อยู่ทุกขณะ ซึ่งจะช่วยเกื้อกูลให้เพื่อนร่วมชาติ ร่วมสังคม สามารถก้าวข้ามพ้นจากความทุกขโทมนัส แปรเปลี่ยนเป็นความเกษมสวัสดิ์ของสรรพชีวิตบนโลกนี้ได้สืบไป ตลอดกาลนาน.