"วิโรจน์" ซัด "นายกฯ" ตัวกลางปัญหา พยายามสร้างเงื่อนไข ใช้ ปชช.เกลียดชังกันเอง จนไฟลามทุ่ง เกิดโครงการ "ไล่ประยุทธ์ ผุดทั่วไทย" วอน หยุดคิด ม็อบ มีคนหนุนหลัง ชี้ คนรุ่นใหม่เติบโตด้วยข้อมูล ไม่ใช่อารมณ์ แนะ เสียสละลาออก ให้ประเทศเดินหน้า

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายถึงการชุมนุมทางการเมืองโดย มองว่าความคิดเห็นที่แตกต่างในสังคม เป็นเรื่องปกอยู่แล้ว การจะบังคับให้ทุกคนคิดเห็นเหมือนกัน เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ดังนั้น ต้องยอมรับว่าความคอดเห็นที่แคกต่างกัน ในเรื้องละเอียดอ่อน อย่างการแก้รัฐธรรมรูญ และปฏิรูปสถาบัน ย่อมก่อให้เกิดความหวาดระแวงกันในหมู่ประชาชนที่เห็นต่างกัน ซึ่งตนเชื่อว่าทุกคนตระหนักดีอยู่แล้ว ว่าในโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ตำเป็นต้องมีการปรับตัว และความพยายามที่จะหยุดยั้งไม่มีการปรับปรุงอะไรเลยนั้น จะไม่เป็นผลดี และก่อผลเสียในระยะยาว

อย่างไรก็ตามเรายังคงต้องอยู่ร่วมกันกับผู้ที่เห็นต่างและไม่สามารถกำจัดคนที่เห็นต่างออกไปจากชีวิตได้ ท่าทีของรัฐบาลต่อปรากฏการณ์ทางสังคมทุกวันนี้สำคัญอย่างมาก ดังนั้นรัฐบาลที่ยึดโยงกับประชาชนต้องฟังเสียงของประชาชนและใช้วิธีการตามระบอบประชาธิปไตยรวมถึงกลไกของรัฐสภาในการคลี่คลายปัญหา ควบคู่กับการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ผู้ที่คิดต่างได้แสดงความคิดเห็นและพูดคุยกันอย่างผู้มีวุฒิภาวะ

แต่สิ่งที่รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมทำกลับตรงกันข้าม ไม่รับฟังเสียงของประชาชน แถมยังเหิมเกริมยืนกรานว่าตัวเองไม่เคยทำผิดอะไรเลย เมื่อนายกรัฐมนตรีที่เป็นแกนกลางของปัญหาไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นปัญหา จึงกลายเป็นไฟลามทุ่ง และสิ่งที่รัฐบาลนี้กำลังทำอยู่ไม่ต่างจากการเติมฟืนเข้าไปในไฟ และเอานำ้มันก๊าซราดเข้าไปในกองเพลิง ใช้กฎหมายอย่างเลือกปฏิบัติ และมีการขู่ดำเนินคดีกับผู้ใช้โซเชียลกว่า 3 แสนราย และยังมีความพยายามปิดหูปิดตาประชาชนด้วยการปิดกั้นสื่อ


ซึ่งทั้งหมดนำไปสู่ความกังวลว่าจะย้อนกลับไปเป็นเหมือนเหตุการณ์ 6 ตุลา พลเอกประยุทธ์ไม่เคยคิดที่จะเรียนรู้ความเสียหายทางประวัติศาสตร์ และยังมีการนำคำว่าชังชาติและล้มเจ้ามาปลุกปั่นสร้างความเกลียดชัง ตนจึงอยากถามว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นจะให้มีการฆ่ากันแล้วทำบิ๊กคลีนนิ่ง ทำรัฐประหาร แต่งเพลงขายฝันปฏิรูป แล้วกลับไปฆ่ากันใหม่ วนซ้ำอยู่แบบนี้เรื่อยๆใช่หรือไม่

ทั้งนี้ ตนคิดว่าควรเลิกได้แล้วกับการที่ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรีหรือ PMOC โพสต์ข้อความเสียดสีประชาชนที่เห็นต่างจากรัฐบาล ออกคำสั่งเกณฑ์ข้าราชการท้องถิ่นและลูกจ้างให้ออกมาใส่เสื้อเหลืองเคลื่อนไหว จึงถูกตั้งข้อสงสัยว่าพฤติกรรมเหล่านี้เป็นความพยายามที่จะแบ่งประชาชนออกเป็นฝักฝ่าย

จากนั้นก็จะสร้างเรื่องราวที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งและนำไปสู่การประทะในหมู่ประชาชน นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า เสื้อเหลืองที่เคยเป็นสัญลักษณ์แห่งความรู้รัก สามัคคี วันนี้กลายเป็นสีเสื้อที่พลเอกประยุทธ์ทำให้กลายเป็นสัญลักษณ์ปกป้องอำนาจตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ และยังเกิดคำถามว่าเป็นสัญญาณที่รัฐบาลให้ท้ายคนอีกกลุ่มหนึ่งเข้าไปทำร้ายผู้ที่เห็นต่างกับรัฐบาล

ที่ผ่านมาพลเอกประยุทธ์ เอาแต่หลอกตัวเองว่าการชุมนุมของนักศึกษาและประชาชนมีคนอยู่เบื้องหลังและคิดดูถูกประชาชนตลอดเวลา เมื่อตัวเองไม่มีสติปัญญาในการบริหารราชการแผ่นดิน จึงสร้างปีศาจและยัดเยียดให้ประชาชนเป็นศัตรูโดยการสร้างความไม่สงบขึ้นมาเอง เอาประชาชนกลุ่มหนึ่งเป็นเหยื่อและหลอกใช้ประชาชนอีกกลุ่มเป็นเครื่องมือ เมื่อเกิดเหตุประทะกันก็ใช้อำนาจพิเศษ ด้วยการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรงฯ หรือหนักกว่าก็ใช้รัฐประหาร ตนเองยืนยันว่าการชุมนุมที่เกิดขึ้นทั่วประเทศแบบ "โครงการไล่ประยุทธ์ ผุดทั่วไทย"

ถ้ามีคนที่อยู่เบื้องหลังก็น่าจะเป็นพรรคกาาเมืองที่เปิดเผยต่อสื่อมวลชนตรงๆว่ารัฐธรรมนูญนี้ออกแบบมาเพื่อพวกของตัวเองมากกว่า รัฐบาลชุดนี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นรัฐบาลของประชาชน

ในช่วงท้าย นายวิโรจน์ ยังฝากถึงประชาชนว่า ตนเองทราบถึงหัวใจของประชาชนดีว่าการที่อยู่ภายใต้รัฐบาล ภายใต้รัฐธรรมนูญที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อประชาชนมันอึดอัด คับแค้น แต่สิ่งที่ประชาชนทุกฝ่ายต้องพยายามช่วยกันทุกวันนี้คือ การประคับประคอง ไม่ให้สังคมนี้ต้องตกเป็นเหยื่อ หรืออยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ถูกสร้างขึ้น และต้องยอมรับว่าคนที่คิดต่างกันมีอยู่จริง และมีสิทธิที่จะแสดงออกความคิดเห็น ซึ่งแต่ฝ่ายต้องอดทนอดกลั้น ไม่มุ่งมาดปราถนาร้ายต่อกัน และย้ำว่าเยาวชนที่เติบโตในสังคมปัจจุบันถูกหล่อหลอมด้วยข้อมูลที่สามารถสืบ ค้นหาได้รอบตัว ไม่ใช่โตมาด้วยอารมณ์ตามคนรุ่นเก่า

พร้อมยกตัวอย่างคำพูดที่ว่า เดินตามผู้ใหญ่ หมาไม่กัด เด็กรุ่นนี้จะมีคำถามทันทีว่าจะเดินทางแบบไหนและระยะกี่เมตร ไม่ได้ทำตามอย่างเดียว การแสดงออกด้วยท่าทีที่ไม่คุ้นเคยของคนรุ่นใหม่ก็เพราะถูกอำนาจนิยมในสังคมกดทับมาโดยตลอด การแก้ไขปัญหานี้จึงไม่สามารถใช้อำนาจนิยมกดทับลงไปอีก แต่ต้องพูดคุยด้วยความเข้าใจด้วยสายใยทางสังคมที่มีต่อกัน จึงจะสามารถผ่าวิกฤตในฐานะผู้ร่วมชาติ

ในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า กลุ่มเสื้อเหลืองที่ออกมาเคลื่อนไหว เพราะความรักและความห่วงใยในสถาบันอย่างแท้จริง และศรัทธาในสถาบันด้วยใจจริงก็ต้องเคารพในความคิดเห็นและการแสดงออกของกันและกัน

ส่วนข้อคิดเห็นของกลุ่มผู้ชุมนุมหากมองแบบไม่เพ่งโทษก็จะเข้าใจว่าพวกเขามีข้อเสนอเพื่อต้องการปฏิรูปให้ดีขึ้นเพื่อธำรงค์สถาบันไว้ให้เคียงคู่กับระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นหากต่างฝ่ายต่างลดระดับการพูดที่เป็นการเหยียดหยามอีกฝ่าย เชื่อว่าข้อเสนอต่างๆเป็นไปได้ที่จะมีฉันทามติร่วมกัน หรือหากเป็นไปได้ ก็จะเป็นการลงมติที่ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกันและยืนยันว่าการแก้ปัญหาในวันนี้ยังไม่สาย แต่พลเอกประยุทธ์เองที่กระทำผิดแต่ไม่ยอมรับ ไม่ได้อยู่ในสถานะที่เป็นกลางในการที่แก้ไขปัญหานี้อีกแล้ว

จึงขอเรียกร้องให้พลเอกประยุทธ์ เสียสละลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมทั้งขอให้พรรคร่วมรัฐบาลพิจารณาถอนตัว แล้วเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่เป็นอิสระจากกลไก คสช. และขับเคลื่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดย สสร. และยุบสภาคืนอำนาจให้กับประชาชน