ทนายอนันต์ชัยที่เคยทำคดี 6 โจ๋รุมคนพิการ เปิดเผยคดีบอสทายาทกระทิงแดง ตามกฎหมายไม่สามารถรื้อฟื้นคดีเพื่อเอาผิดได้ ส่วนการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ เพียงเพราะเอาผิดคนในกระบวนการสั่งคดีเท่านั้น ส่วนจุดพลิกผันของคดีนี้อยู่ที่พยานฝ่ายจำเลยกลับคำให้การ

ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความคดี 6 โจ๋รุมคนพิการ อธิบายให้ผู้สื่อข่าวช่อง 8 คุณนฤชา กมุทโยธิน ถึงคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอสทายาทกระทิงแดง ว่า พยานบุคคลที่โผล่ขึ้นมา 2 ปาก มองว่า ไม่น่าเชื่อถือ กลับคำให้การไปมา ซึ่งคำให้การครั้งแรกจะน่าเชื่อถือที่สุด หากตัวเองเป็นทนายฝ่ายโจทก์ หรือ ฝ่ายดาบตำรวจ จะซักค้านในชั้นศาลเอาให้ศาลเชื่อฝั่งโจทก์มากกว่าและคดีจะไม่ออกมาแบบนี้แน่นอน ทำให้ประเด็นนี้เป็นจุดพลิกคดี และ ถูกตัดตอนตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวนและอัยการ

ส่วนประเด็นที่สังคมสงสัยและคลางแคลงใจอยากให้มีการรื้อฟื้นคดีขึ้นมาสอบสวนเพื่อเอาผิดกับนายบอสใหม่ ทางกฎหมายไม่สามารถรื้อฟื้นคดีได้ ว่าด้วยกฎหมาย ป.วิอาญา มาตรา 147 ตำรวจและอัยการมีความเห็นไม่สั่งฟ้องคดีทำให้คดีถึง ที่สุดไม่สามารถ สอบสวนจำเลยได้อีก เว้นแต่มีพยานหลักฐานใหม่ที่ศาลเชื่อ ซึ่งพยานหลักฐานใหม่ ทนายอนันต์ชัย มองว่า ยากมาก เพราะคดีผ่านมากว่า 8 ปี การแสวงหาพยานหลักฐานจึงทำได้ยาก , หากสำนวนนี้ไปอยู่ในชั้นศาล เชื่อว่าศาลจะให้ความเป็นธรรมแก่ฝ่ายจำเลยแน่นอน

อีกประเด็นที่สำคัญของคดีนี้ ทนายอนันต์ชัยอยากให้ความรู้กับประชาชนกรณีฟ้องร้องคดีอาญา หากผู้เสียหายเสียชีวิต ฝ่ายโจกท์ที่สามารถฟ้องร้องแทนได้ จะต้องเป็น พ่อ-แม่ ภรรยาและบุตรที่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งกรณีคดีบอส นายดาบตำรวจ พ่อแม่เสียชีวิตแล้ว ไม่มีลูก ส่วนภรรยาไม่ได้จดทะเบียน , ญาติพี่น้องถึงไม่สามารถ ฟ้องคดีอาญาเองได้จึงอยากให้มีการปรับแก้กฎหมาย ป.วิอาญา 5 (2) ข้อนี้ จะได้เป็นประโยชน์แก่ประชาชน

สำหรับการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 3 ชุดทั้ง ตำรวจ , อัยการและนายกรัฐมนตรี ทนายอนันต์ชัย มองว่า ตั้งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบกระบวนการสั่งคดีเพื่อเอาผิดกับเจ้าหน้าที่หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องในกระบวนการเท่านั้น แต่ไม่สามารถที่จะไปเอาผิดกับนายวรยุทธ อยู่วิทยาได้ ในทางกฎหมายถือว่าคดีถึงที่สุดแล้ว 

ขณะที่นายณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ โฆษกกรรมาธิการ ตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร แถลงภายหลังเชิญพนักงานสอบสวนคดี นายวรยุทธ มาซักถาม โดยซักถามถึงสาเหตุ ที่ไม่มีการแจ้งข้อหา ว่าพบสารแปลกปลอมที่เกิดจากยาเสพติดในร่างกาย ของนายวรยุทธ ทั้งที่มีผลตรวจทางนิติเวชวิทยายืนยัน จากการตรวจเลือด

พนักงานสอบสวน ได้ให้เหตุผลว่า ที่ไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาเพราะมีทันตแพทย์ ยืนยันว่า ได้ให้ยาที่มีส่วนผสมของโคเคน ในการรักษาทำฟัน เมื่อดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปผสม จะทำให้เกิดสารแปลกปลอมดังกล่าวในร่างกาย แต่ทั้งนี้พนักงานสอบสวนไม่ได้นำใบรับรองแพทย์มาให้ดู เป็นการชี้แจงปากเปล่าเท่านั้น

ดังนั้นในประเด็นนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องออกมาชี้แจงและตอบคำถามสังคมให้ชัดเจน เพราะถือเป็นประเด็นสำคัญ 

ด้านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ว่า ในฐานะกำกับดูแล สตช. เน้นย้ำให้ ตำรวจทำหน้าที่ให้โปร่งใสประสิทธิภาพ ตรวจสอบได้ให้ความเป็นธรรม ไม่ว่าจะคนใดก็ตาม ที่เป็นคนไทยอยู่ในประเทศไทย ต้องเคารพกฎหมายทุกฉบับที่มีอยู่ในปัจจุบัน และต้องปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวัง ถูกต้องชอบธรรม

นายกฯ ยังกล่าวถึงคดีที่มีปัญหาเกิดขึ้นว่า ขอให้ใจเย็นๆ รอผลการตรวจสอบของคณะกรรมการทั้ง 3 คณะ ที่ตั้งขึ้นมาก่อน

ขณะเดียวกัน ก็ได้ตั้งคณะทำงานไปแล้ว ซึ่งมีนายวิชา มหาคุณ เป็นประธาน โดยต้องย้อนกลับไปดูต้นทางอีกครั้งว่ามีปัญหาตรงไหนอย่างไร เพราะต้องแก้ทั้งระบบ เพื่อให้เกิดความชอบธรรมให้มากที่สุด

พร้อมทั้งได้ย้ำในที่ประชุมว่า ตำรวจเป็นต้นทางของกระบวนการยุติธรรม ฉะนั้นการทำคดี จัดทำสำนวนต่างๆ จะต้องรอบคอบ ระมัดระวัง เพื่อไม่ให้คนทำผิดได้รับการยกเว้น

ทนายอนันตชัยชี้คดี "บอส" รื้อยาก