ลุงพล ยืนยันคำเดิม ไม่ร่วมดื่มน้ำสาบาน เพราะกลัวพ่อ-แม่น้องชมพู่ ทำ "ยาสั่ง" ขณะพ่อ-แม่น้องชมพู่ แจงซ้ำ ไม่เคยเปิดรับบริจาค ไม่มีรถป้ายแดง ไม่ได้ย้ายโรงเรียนลูกสาวคนโต รวมทั้งไม่ได้ทำประกันชีวิตให้น้องชมพู่

ผู้สื่อข่าวช่อง 8 คุณจุฑารัตน์ บุบผา เดินทางลงพื้นที่บ้านกกกอก อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร จับตาความเคลื่อนไหวในพื้นที่ ก่อนครอบครัวน้องชมพู่ จะรวมตัวกันทำพิธีร่วมสาบาน บนถ้ำศักดิ์สิทธิ์ วัดถ้ำภูผาแอก วันพรุ่งนี้

โดยลุงพล ลุงเขยของน้องชมพู่ ยังยืนยันว่า ตัวเองกับป้าแต๋น จะเข้าร่วมพิธีสาบานตามความต้องการของตาชาญกับยายสมควร หลาบโพธิ์ ตากับยายของน้องชมพู่ แต่จะไม่ดื่มน้ำสาบาน เพราะไม่ไว้ใจพ่อ-แม่น้องชมพู่ เพราะกลัวว่าจะมีเรื่องไสยศาสตร์มนต์ดำเข้ามาเกี่ยวข้อง หลายคนก็แสดงความเป็นห่วงและโทรศัพท์มาเตือนในเรื่องนี้ โดยลุงพล บอกด้วยว่า ถ้าจะดื่มน้ำสาบานต้องไปที่วัดพระแก้ว เท่านั้น

สาเหตุหลักที่ลุงพล กังวลเรื่องการดื่มน้ำสาบาน คือ กลัวจะถูก “ยาสั่ง” ซึ่งเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ที่ลุงพล เชื่อว่า มีจริง และจะเป็นการสั่งเฉพาะบุคคล โดยแม้จะกินน้ำขันเดียวกัน แต่หากยาสั่งเป็นชื่อลุงพล ก็จะทำให้ตัวเองเป็นอันตรายเพียงคนเดียว

ด้านแม่น้องชมพู่ พร้อมทำตามความต้องการของพ่อ-แม่ คือ ตากับยายน้องชมพู่ทุกอย่าง เพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ดี เนื่องจากตากับยายเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกหลาน

ขณะที่ คุณพนิตนาฏ พรหมบังเกิด ผู้สื่อข่าวช่อง 8 ไปพูดคุยกับ นายหาญ รักษาจิตต์ หรือ เณรแอ จอมขมังเวทย์ ถึงประเด็นเรื่องยาสั่งว่า มีจริงหรือไม่ และสามารถทำให้คนตายได้จริงหรือไม่

เณรแอ เล่าว่า ยาสั่งมีจริง และมีการทำมานานนับหลายปีแล้ว ซึ่งยาสั่งต้องมีสารประกอบทั้งหมด 19 ชนิดแต่หลัก ๆ จะต้องเป็น เมล็ดมันแกว ขั้นตอนในการปลุกเสกจะใช้เวลาในการทำเพียงแค่ 1 วันเท่านั้น สำหรับคนที่นำไปใช้มักจะใส่ไปในเครื่องดื่ม โดยเอาผงของยาสั่งไว้ที่เล็บ แล้วเมื่อยื่นน้ำให้ดื่มจะนำนิ้วมือจุ่มลงไป

แต่ยาสั่งนั้นไม่ได้สามารถตายได้ทันที จะต้องทำตามสั่งก่อน เช่น ถ้าสั่งว่าทานปลาแล้วจะตาย คนที่ถูกสั่งทานปลาวันไหน ก็จะตายภายในวันนั้น ลักษณะคือ ตายโดยไม่มีสาเหตุ สภาพศพจะเป็นลักษณะเล็บมือดำ และตาดำ

เณรแอบอกอีกว่า ถ้าเชื่อว่า บริสุทธิ์ใจก็ให้สาบานและกินน้ำไป เพราะสุดท้ายแล้วถ้าเราไม่ได้ทำฤทธิ์ของยาสั่งก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน

ส่วนประเด็นที่ชาวเน็ตบางส่วน มีการกล่าวหาพ่อ-แม่น้องชมพู่ เปิดบัญชีรับบริจาคนำเงินไปซื้อรถป้ายแดง ย้ายลูกสาวคนโตไปเรียนโรงเรียนเอกชน สร้างบ้านใหม่ รวมไปถึงการได้เงินประกันชีวิตของน้องชมพู่ด้วย

แม่น้องชมพู่ ชี้แจงทีละประเด็นว่า รถป้ายแดง ที่มีรูปถ่ายในเฟซบุ๊ก แม่น้องชมพู่ ระบุว่า รูปนี้ถ่ายตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2563 โดยเดินทางไปรับรถยนต์กับน้องสาวคนเล็ก รถคันนี้เป็นรถของน้องสาวไม่ใช่รถของตัวเอง โดยตัวเองมีรถเพียง 2 คัน คือ รถจักรยานยนต์ ฮอนด้าเวฟ และรถไถนา คูโบต้า ที่ซื้อมาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2557

ประเด็นที่ 2 การย้ายลูกสาวคนโตไปเรียนโรงเรียนเอกชน แม่ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง โดยได้นำเสื้อนักเรียนของลูกสาวคนโต มาแสดงกับทีมข่าวช่อง 8 เป็นเสื้อนักเรียนแขนยาว คอบัว ปักอักษรย่อ ก.ต. คือ โรงเรียนบ้านกกตูม อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งห่างจากบ้านน้องชมพู่ 2 กิโลเมตร มาให้ดู โดยปัจจุบันเรียนอยู่ ชั้น ม.1

ประเด็นที่ 3 เรื่องการสร้างบ้านใหม่ แม่ชี้ให้ทีมข่าวดูสภาพบ้านเปรียบเทียบกับช่วงหลังเกิดเหตุ ซึ่งไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง นอกจากหลังคาเมทัลชีสข้างบ้าน ที่มีผู้ใหญ่บริจาคให้ เพราะก่อนหน้านี้เป็นหลังคาผ้าใบซึ่งเริ่มมีรอยรั่ว

ล่าสุด พนักงานสอบสวนในคดีนี้ได้มีการติดต่อสอบถามข้อเท็จจริงมายังแม่น้องชมพู่ ในประเด็นเดียวกันกับที่ผู้สื่อข่าวช่อง 8 คุณจุฑารัตน์ บุบผา ไปตรวจสอบ เพราะหากไม่ใช่เรื่องจริง ถือว่าทำให้พ่อ-แม่น้องชมพู่ เสียหายเสื่อมเสียชื่อเสียง มีความผิดสามารถแจ้งความดำเนินคดีได้

ส่วนบรรยากาศที่บ้านกกกอก วันนี้ เนื่องจากยังอยู่ในช่วงวันหยุดยาว ทำให้ยังมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากแห่เดินทางมาเช็คอินไม่ขาดสาย และเข้าให้กำลังใจพ่อ-แม่น้องชมพู่ และลุงพลด้วย อย่างคณะของ พระมหาบุญฤทธิ์พุทธสโร วัดบูรพาเทพนิมิต อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ ก็ได้แวะเข้ามาผูกแขน ให้พร พ่อ-แม่ ของน้องชมพู่ ให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่เลวร้ายไปให้ได้

สุดท้าย ประเด็นเกี่ยวกับประกันชีวิตของน้องชมพู่ แม่ยืนยันว่า ไม่เคยทำประกันชีวิตให้ เพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้น เพียงเข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มฌาปนกิจของหมู่บ้าน ที่เมื่อมีคนเสียชีวิต บ้านที่เป็นสมาชิก ประกอบด้วย บ้านกกกอก บ้านกกตูม และบ้านเกษตรสมบูรณ์ ก็จะจ่ายเงินกันคนละ 20 บาท เพื่อรวบรวมให้กับผู้เสียชีวิต สำหรับน้องชมพู่ ได้เงินส่วนนี้ประมาณ 30,000 บาทเศษ

แม่น้องชมพู่ บอกว่า รู้สึกเสียใจ ที่ตัวเองในฐานะผู้สูญเสีย ต้องมีเจอกับการตั้งข้อครหาต่างๆ จึงขอให้ผู้ที่ติดตามข่าวนี้ ใช้วิจารญาณให้มากขึ้น รวมถึงให้รอการสืบสวนของตำรวจในการคลี่คลายคดี

"ลุงพล" ยืนยันคำเดิม ไม่ร่วมดื่มน้ำสาบาน