ชุดสืบสวนคลี่คลายคดีเปิดเบาะแสใหม่จุดพักร่างชมพู่ก่อนนำขึ้นไปภูเหล็กไฟ ขณะที่แม่น้องชมพู่โต้เปิดรับบริจาคได้เงิน 30 ล้าน แจงเป็นเงินทำบุญที่มีคนโอนมาช่วยเหลือตั้งแต่วันที่ 15 - 25 พฤษภาคม ยอดรวม 130,000 บาท

69 วัน คดีน้องชมพู่ เกิดกระแสข่าวครอบครัวมีการเปิดรับเงินบริจาค ได้รับเงินกว่า 30 ล้านบาท โดยแม่น้องชมพู่ นำหลักฐานทางการเงินออกมาแสดงต่อผู้สื่อข่าวช่อง 8 คุณจุฑารัตน์ บุบผา พร้อมปฏิเสธกระแสข่าวดังกล่าวไม่ใช่เรื่องจริง และครอบครัวไม่เคยเปิดบัญชีรับบริจาคหลังจากน้องชมพู่เสียชีวิต

แม่น้องชมพู่ ชี้แจงว่า หลังพบศพน้องชมพู่ เมื่อค่ำวันที่ 14 พฤษภาคม มีชาวเน็ตติดต่อเข้ามาเพื่อขอเลขบัญชี โอนเงินร่วมทำบุญจำนวนมาก วันที่ 15 พฤษภาคม น้องชาย ก็คือ น้าชายของน้องชมพู่ จึงได้ขออนุญาตนำเลขบัญชีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ หรือ บัญชี ธกส. ของตัวเอง ไปโพสต์ ลงในเฟซบุ๊ก จากนั้นก็มีคนโอนเงินมาทำบุญ ตั้งแต่หลักสิบ หลักร้อย หลักพัน ไปจนถึงหลักหมื่นบาท

โดยยอดเงินเริ่มนิ่งประมาณวันที่ 25 พฤษภาคม หลังจากที่ครอบครัวฌาปนกิจศพน้องไปแล้ว ซึ่งยอดเงินทำบุญรวม 130,000 บาท ส่วนที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ มีการใช้จ่ายเป็นค่าน้ำค่าไฟและค่าโทรศัพท์ไปประมาณ 19,000 บาท คงเหลือในบัญชีประมาณ 111,000 บาท

แม่ของน้องชมพู่ บอกว่า เงินที่มีคนโอนมาทำบุญนี้ ตั้งใจจะเก็บเงินจำนวนนี้ไว้เป็นทุนการศึกษาให้กับ “น้องสะดิ้ง” พี่สาวของน้องชมพู่ ที่กำลังเรียนอยู่ชั้นม.1

และก่อนที่แม่น้องชมพู่จะเดินทางไปทำบุญ ที่จังหวัดร้อยเอ็ด ก็ได้มีชาวบ้านต่างพื้นที่จากออำเภอนาแก จังหวัดนครพนม เดินทางมาให้กำลังใจ พร้อมผูกแขนเรียกขวัญตามประเพณี หลังพบเจอเรื่องไม่ดีมา

ส่วนการสืบสวนคลี่คลายคดีน้องชมพู่ ผ่านเข้าสู่วันที่ 69 แล้ว ตำรวจชุดสืบสวนคลี่คลายคดียังเร่งค้นหาหลักฐานสำคัญทางคดีอย่างต่อเนื่องกระทั่งพบจุดสำคัญ อย่างที่ กระท่อมหลังนี้ เป็นเบาะแสใหม่ของตำรวจเชื่อว่าเป็นที่พัก ก่อนนำน้องชมพู่ขึ้นไปทิ้งอำพรางบนภูเหล็กไฟ เพราะว่าในคืนวันที่ 12 พฤษภาคม หลังจากน้องชมพู่หายตัวไป มีชาวบ้านได้ยินเสียงหมาเห่า โดยทิศทางของเสียง มุ่งตรงมาที่กระท่อมแห่งนี้

ซึ่งกระท่อมหลังนี้หากเดินทะลุจากบ้านน้องชมพู่ผ่านสวนมันสำปะหลัง อยู่ห่างเพียงแค่ 300 เมตร โดยกระท่อมหลังนี้อยู่ตรงข้ามกับบ้านของลุงพล ห่างกันเพียง 100 เมตรเท่านั้น และอยู่ติดกับบ้านของพ่อแบมห่างกันไม่ถึง 50 เมตร

ล่าสุดตำรวจได้เข้ามาสอบถามพ่อแบม ถึงเรื่องที่มีการพูดว่าเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมนั้นยินเสียงสุนัขเห่าหรือไม่

ผู้สื่อข่าวช่อง 8 คุณจุฑารัตน์ บุบผา ไปสอบถามข้อเท็จจริงจากพ่อแบม ยืนยันว่า คืนวันที่ 12 พฤษภาคม หลังจากน้องชมพู่ หายตัวไป 1 วัน จู่ๆสุนัข 2 ตัวที่บ้านก็เห่าผิดปกติ ไปทางกระท่อมดังกล่าว ซึ่งเห่าอยู่นาน 10-15 นาที อีกทั้งได้ยินเสียงลักษณะคล้ายคนกำลังทำอะไรบางอย่าง จึงแง้มประตูบ้านมองดู แต่ด้วยความมืดจึงมองไม่เห็นอะไร

สอดคล้องกับ ป้าแต๋น ภรรยาของลุงพล ที่เปิดเผยกับคุณพนิตนาฏ พรหมบังเกิด ผู้สื่อข่าวช่อง 8 ว่า ช่วงกลางดึกวันที่ 12-13 พฤษภาคม ตัวเองจำเวลาที่ชัดเจนไม่ได้ จู่ ๆ เจ้านิกส์ สุนัขที่เลี้ยงไว้ เห่าเสียงดังขึ้นซึ่งเห่า 1-2 นาที นานผิดปกติ โดยทิศหันไปทางบ้านของพ่อแบม ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกระท่อมมากนัก หลังจากเจ้านิกส์เห่า สักพักสุนัขของพ่อแบบมก็เห่านานกว่าปกติ แต่ตัวเองไม่กล้าออกไปดู

คุณพนิตนาฏ จึงเดินทางไปที่กระท่อมหลังนี้พบว่า บริเวณกระท่อมหลังนี้ไม่มีผู้พักอาศัย มีเพียงที่นอนเก่า ๆ และพบยากันยุงถูกจุดทิ้งเป็นจำนวนมาก ผู้สื่อข่าวช่อง 8 เดินทางไปที่กระท่อมในช่วงเวลากลางวัน ก็พบว่ามียุงเยอะมากๆ หากเด็กถูกนำมาพักตามข้อสันนิษฐาน นั่นแปลว่าเด็กต้องไม่ได้สติ หรืออาจจะเสียชีวิตแล้ว เพราะเชื่อว่าเด็กไม่สามารถทนต่อการโดนยุงลายกัดได้อย่างแน่นนอน

และก่อนหน้านี้ทางตำรวจได้ลงพื้นที่ตรวจสอบกระท่อมหลังนี้ พบว่ามีกล่องนมตกอยู่หนึ่งกล่อง ตำรวจได้เก็บไปตรวจสอบดีเอ็นเอไปแล้ว แต่ไม่สามารถตรวจสอบดีเอ็นเอได้ เนื่องจากมีสิ่งแปลกปลอมเจือปนอยู่เป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้ หลังจากเกิดเหตุการณ์การเสียชีวิตของน้องชมพู่อย่างปริศนา จึงมีการตั้งคำถามว่า ทำไมต้องเป็นน้องชมพู่ น้องมีความพิเศษกว่าเด็กคนอื่นอย่างไร

เรื่องนี้น้าแต น้าชายคนเดียวของน้องชมพู่ ให้คำตอบกับผู้สื่อข่าวว่า น้องชมพู่เป็นเด็กที่มีคุณสมบัติพิเศษ เพราะน้องเกิดวันอังคาร เวลา 17.00 น. จะมีดวงจิตที่แข็งกว่าคนที่เกิดวันอื่น และ น้องอายุ 3 ขวบพอดี ตรงตามความต้องการของพวกหมอผี จึงเป็นที่เพ่งเล็งของบรรดาพวกที่เล่นไสยศาสตร์ เพราะเด็กที่เกิดตามวันในลักษณะแบบนี้จะช่วยเสริมอำนาจบารมีด้านมนต์ดำให้มากยิ่งขึ้น

อย่างการสับเส้นผมน้องนั้น เชื่อว่าเป็นการสับหลังจากที่คนร้ายได้ฆ่าน้องแล้ว เพราะการสับเส้นผมคือการสะกดวิญญาณไม่ให้ดวงวิญญาณของคนที่ถูกฆ่านั้นออกมาหลอกหลอนคนที่ทำร้ายได้ หรือคนร้ายอาจจะเอาร่างของน้องขึ้นไปบูชายัญ ให้กับพวกยักษ์ที่อยู่ในป่าก็เป็นได้ ซึ่งต้องยอมรับว่า ในระแวงบ้านนี้ส่วนใหญ่มีความเชื่อทางเรื่องไสยศาสตร์

น้าแต ยังบอกอีกว่าก่อนหน้านั้นประมาณ 2 เดือน ก่อนที่น้องชมพู่จะเสียชีวิต จู่ ๆ วัวของน้าแตตายปริศนา จึงคาดว่าน่าจะเป็นรางร้ายแต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะเกิดกับน้องชมพู่ ชาวบ้านส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นเรื่องราวของไสยศาสตร์และมนต์ดำ ที่คนร้ายอาจจะต้องการตัวน้องมาทำการ "บูชายัญ" ก็ได้

จากประเด็นการทำบูชายัญ ทีมข่าวช่อง 8 ได้สอบถามความคิดเห็นกับ นายหาญ รักษาจิตต์ หรือ เณรแอ จอมขมังเวทย์ เปิดเผยว่า ตนเองเชื่อว่าพิธีบูชายัญมีอยู่จริง ซึ่งเป็นพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ของขอมหรือเขมร ผู้ที่ทำพิธีต้องเป็นผู้ที่มีวิชาอาคมเก่งกล้า จะเลือกเด็กที่มีความบริสุทธิ์อายุไม่เกิน 10 ขวบ มีลักษณะเกิดในวันอังคารเพื่อทำประกอบพิธีบูชายัญ เพื่อให้ผู้ทำได้บารมีเพิ่มมากขึ้น

ส่วนผมที่ถูกตัดไปนั้นก็จะนำไปประกอบทำเป็นวัตถุทางไสยศาสตร์แต่เรื่อง เสน่ห์ยาแฝดในด้านความเมตตามหานิยม เพราะเชื่อว่า วิญญาณเด็กเป็นวิญญาณที่แรง เณรแอจอมขมังเวทย์ ยังตอบว่า ถ้าก่อนหน้านี้ศพของน้องชมพู่ยังไม่ถูกเผาตนเองในฐานะผู้มีความเชี่ยวชาญด้านไสยศาสตร์เชื่อว่าจะสามารถทำพิธีโดยใช้ใบบอนมาตบที่ปากเด็กและใช้กุญแจทำพิธีใขปากเด็กเชื่อว่าวิญญาณเด็กจะทำให้ผู้ก่อเหตุรับสารภาพออกมาเอง

เปิดเบาะแสใหม่จุดพักร่าง พบชมพู่เป็นที่ต้องการของกลุ่มคุณไสย์