เปิดใจ! คนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ ก่อนไปกักตัวที่สัตหีบ เผย ถึงไทยในวันที่จะเคอร์ฟิว คืนแรก! พร้อมเผยเหตุผลว่าทำไมคนบางกลุ่ม ถึงวุ่นวาย ย้ำว่า มีเพียงบางกลุ่มที่จะไม่ยอมกักตัวที่สัตหีบ

"เปตอง" ภูรินทร์ (ขอสงวนนามสกุล) หนึ่งในคนไทยที่กักตัวที่สัตหีบ เปิดใจกับทีมข่าวช่อง8 ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ ในวันที่ 3 เมษายน 2563 ซึ่งจะเป็นคืนแรกของการเคอร์ฟิว คุณเปตอง เล่าว่า ตอนที่จองตั๋วเครื่องบิน เป็นคืนวันที่ 31 มีนาคม 2563 มาตรการ ณ ตอนนั้น คนที่จะเดินทางกลับประเทศไทย จะต้องมี 3 อย่าง 1 คือใบรับรองแพทย์ ซึ่งขณะนั้นนิวยอร์ก หาใบรับรองแพทย์ได้ยากมาก คนที่จะกลับต้องมีความพยายามที่จะกลับจริงๆ แล้วพอได้ใบรับรองแพทย์ ก็จะมาจองตั๋วเครื่องบิน พอได้ตั๋วเครื่องบินกับใบรับรองแพทย์มาก็จะต้อง นำ 2 สิ่งนี้ มายื่นให้สถานทูต ซึ่งสถานทูตจะพิจารณาแล้วก็ออกใบรับรองการกลับไทยให้ เมื่อได้ครบ 3 อย่าง ถึงจะให้ได้ขึ้นเครื่อง วันนั้นคือวันที่ 1 เมษายน อันนี้เป็นมาตรการที่ "ก่อนขึ้นเครื่อง" เมื่อขึ้นเครื่องออกมาจากนิวยอร์ก ก็มาลงที่โดฮา เพราะต้องรอต่อเครื่องมากรุงเทพฯอีก 11 ชั่วโมง ระหว่างที่รอก็ได้รับข่าวว่า มีการเปลี่ยนมาตรการอีกครั้ง เป็นมาตรการชะลอคนไทยกลับเข้าประเทศ แต่ว่าไม่ได้ Apply กับคนที่มีใบของสถานทูต และอยู่ระหว่างการเดินทางก็เลยบินมาต่อได้ ยอมให้ขึ้นเครื่องมาที่กรุงเทพฯ พอมาถึงที่สนามบินลงจากเครื่อง 13.00 น. ก็ผ่านมาตรการวัดไข้ ส่งเอกสารที่เรามี ก็คือส่งใบรับรองแพทย์ ส่งใบรับรองจากสถานทูตให้เจ้าหน้าที่ แล้วเจ้าหน้าที่ก็ยึดพาสปอร์ตไป จากนั้นให้รอที่ Gate มีคนที่รออยู่ด้วยกันประมาณซัก 100 คน ทุกคนก็งงๆว่าเจ้าหน้าที่ให้รออะไร และทำไมต้องเอาพาสปอร์ตไปด้วย จึงไปถามเจ้าหน้าที่ แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ เจ้าหน้าที่อาจจะไม่ทราบจริงๆ เพราะว่าพึ่งมีการออกกฎอีกรอบนึง ซึ่งใน Gate นั้นนอกจากไฟท์ผม ก็มีไฟท์ที่ลงพร้อมผมมารอด้วย หลังจากนั้นก็ค่อยๆเดินออกมา เพราะจะมีการแบ่งเพศ แล้วก็แบ่งสายการบิน จากนั้นให้ไปตรวจอุณหภูมิอีกรอบนึง แล้วก็ผ่าน ตม.เข้าประเทศ ตม.ก็จะถามว่ามาจากประเทศอะไร เบอร์ติดต่ออะไร แล้ว ตม.ก็ถาม บ้านที่จะกักตัวอยู่ที่ไหน เขาจะได้จดไว้ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าหน้าที่กับ ตม.มีข้อมูลคนละแบบกัน พวกผมก็คิดว่าน่าจะได้กลับบ้าน เมื่อมารับกระเป๋าเขาก็พาคนขึ้นรถบัส แล้วก็บอกว่า จะพาไปรอที่สถานีดับเพลิงของสุวรรณภูมิ พวกผมก็ไปแล้วเขาก็บอกว่า ใครที่มีญาติอยู่กรุงเทพฯ บอกให้ญาติมารอรับที่สถานีดับเพลิงได้เลย คนที่อยู่ต่างจังหวัดจะให้แยกภูมิลำเนาอีกทีหนึ่ง เช่น ใครอยู่เชียงใหม่ ก็จะพาขึ้นรถไปเชียงใหม่ แล้วก็ไปอยู่ในสถานที่กับตัวที่เขาจัดไว้ให้

ก่อนออกมาจากสนามบิน ก็ได้กรอกข้อมูลให้เจ้าหน้าที่แล้วว่า บ้านอยู่ไหน กักตัวที่บ้านนี้ใช่หรือไม่ ยืนยัน แล้วก็ให้เบอร์โทรศัพท์ไป ทุกคนก็เลยเข้าใจว่าจะได้กลับบ้าน บวกกับเจ้าหน้าที่บอกว่าใครอยู่กรุงเทพฯ ให้ญาติมารอรับได้เลย หลายๆคนก็โทรหาญาติ แล้วญาติก็มารอรับ ต่อมามีเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งออกมา แล้วบอกว่า "พวกผมประชุมกันเสร็จแล้ว สรุปว่าเดี๋ยวจะให้ไปตรวจโรคก่อน แล้วจะให้กลับบ้าน" แล้วคนที่อยู่ตรงนั้นก็เริ่มงง ว่าจะไปตรวจที่ไหน จากนั้นเจ้าหน้าที่บอกให้ทุกคนขึ้นรถทัวร์ เมื่อขึ้นรถทัวร์ ก็นั่งรอบนรถอีกสักประมาณ 1 ชั่วโมง พี่สาวของผมที่มารอรับ ได้ไปคุยกับคนขับรถทัวร์ ที่รออยู่ข้างนอก ซึ่งคนขับรถทัวร์บอกว่า จะพาไปสัตหีบ แต่เจ้าหน้าที่แจ้งว่า จะพาไปตรวจโรคเฉยๆ หลังจากนั้นจึงเริ่มมีความวุ่นวายเกิดขึ้น

ตั้งแต่ออกจากเครื่อง จนมาถึงสัตหีบใช้เวลา 12 ชั่วโมง ผมออกจากเครื่อง 13:00 น. ได้ออกจากสนามบิน ประมาณ 17:00 น. เพื่อไปที่สถานีดับเพลิง 19:00 น. เจ้าหน้าที่ให้ขึ้น แจ้งว่าจะพาไปตรวจโรค รถก็ออกประมาณ 21:00 น. ไปสัตหีบ แต่ระหว่างทาง ฃคนบนรถก็เห็นข่าว ว่ามีไฟท์ ที่ลงหลังจากพวกผม ได้กลับบ้าน พอเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น รถทัวร์ก็ได้หยุดที่ปั๊มน้ำมัน ตำรวจลงจากรถในปั๊มน้ำมัน แล้วคนบนรถก็เริ่มขอลงไปเข้าห้องน้ำ เมื่อคนเริ่มลงไปคนที่ได้รับข่าวว่ามีอีกกลุ่มนึง ได้กลับบ้านก็เริ่มไปโวยวาย เริ่มไปโวยวายกับตำรวจที่นำทาง ติดอยู่ที่ปั๊มน้ำมันประมาณ 1-2 ชั่วโมง ถึงสัตหีบ 1:30 น.

แต่เจ้าหน้าที่ที่สัตหีบ ใจเย็นมาก ใจดีมากมีความเป็น Professional สูงมาก เขาจะแบ่งตามกลุ่มคนที่มาจากแต่ละประเทศ เพราะว่าความเสี่ยงแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน แล้วก็จัดแบ่งเพศ แล้วก็แต่ละกลุ่มคน และประกาศว่าต้องอยู่ในห้องนอนห้องละ 3 คน เพราะว่าห้องไม่พอ อย่างไรก็ตาม 3 คนที่อยู่ในห้องเดียวกันจะต้องมีความยินยอมที่จะนอนด้วยกันก่อนไม่ใช่บังคับ คนส่วนใหญ่ไม่ได้มาด้วยกัน ก็มารู้จักกันที่บนรถ แล้วก็ตกลงที่จะนอนห้องเดียวกัน ที่สัตหีบ แต่ก็มีกลุ่มคนที่กลุ่มโวยวายขึ้นอีกรอบ เพราะเขายังเชื่อว่ามาตรวจโรคแล้วเขาจะได้กลับบ้าน

เปิดใจ! คนไทย ที่เพิ่งกลับจากต่างประเทศในคืนที่วุ่นวาย