รศ.พญ.พรรณพิศ สุวรรณกูล ผู้อำนวยการอาวุโสแผนกโรคติดเชื้อโรงพยาบาลกรุงเทพ เปิดเผยว่า จากกรณีผู้ป่วยกลับจากญี่ปุ่นเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาล หลังเกิดอุบัติเหตุเล่นกีฬาล้มแขนหัก ก่อนจะพบว่า ติดเชื้อโควิด-19 โดยผู้ป่วยรายนี้เข้ารับการรักษาด้วยอาการบาดเจ็บที่กระดูกข้อมือแตก โดยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลหลังจากกลับจากประเทศญี่ปุ่น 2 วัน

เบื้องต้น โรงพยาบาลได้ทำการแยกออกจากผู้ป่วยปกติ และทำการตรวจเชื้อโควิด-19 จำนวน 2 ครั้ง ก่อนพบว่า ผลเป็นลบ เนื่องจากยังเป็นระยะฝักตัว แต่เนื่องจากผู้ป่วยเดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง แพทย์จึงได้ประชุมเพื่อเตรียมผ่าตัดรักษาอาการบาดเจ็บ เนื่องจากหากไม่รีบอาจทำให้พิการได้ และในระหว่างการผ่าตัด ทีมแพทย์ได้ใส่ชุดป้องกัน และอุปกรณ์ตามมาตรฐานสูงสุดในการป้องกัน จึงมั่นใจว่าไม่ติดเชื้อ และไม่สามารถแพร่เชื้อให้กับบุคคลอื่นได้

หลังผ่าตัดเสร็จแล้ว ทีมแพทย์ได้แยกผู้ป่วยไปพักฟื้น ภายในอาคารที่เตรียมไว้เฉพาะผู้ที่มาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงและมีบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับการฝึกให้ดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้โดยเฉพาะ รวมทั้งหลังผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลได้กลับไปกับตัวเองที่พักอาศัย ที่อยู่คนเดียว จนกระทั่งวันที่ 13 ของการกลับมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง ทางโรงพยาบาลได้ตรวจอาการป่วยและเชื้อโควิด-19 เป็นครั้งที่ 3 พบว่า ผลเป็นบวกหรือว่ามีการติดเชื้อ แต่ยืนยันว่า คนไข้ไม่มีอาการไอจาม หรืออาการที่แสดงว่าติดเชื้อ เบื้องต้นตามหลักการระบาดคาดว่า ผู้ป่วยน่าจะติดเชื้อมาจากต่างประเทศ

สำหรับตอนนี้ผู้ป่วยรายนี้ ได้เข้าสู่กระบวนการดูแลของกระทรวงสาธารณสุขแล้วซึ่งเป็นผู้ป่วยรายที่ 58 ที่มีการประกาศไปในส่วนของโรงพยาบาลหลังจากพบว่าผู้ป่วยมีเชื้อโควิด-19 ได้สอบสวนโรค บุคลากรทางการแพทย์และบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยรายนี้แล้ว โดยกลุ่มที่มีความเสี่ยงมาก จะให้หยุดงาน 14 วัน ส่วนกลุ่มที่มีความเสี่ยงน้อย จะให้กลับมาทำงานได้ตามปกติ แต่ส่วนใหญ่ขอหยุดงาน 1-2 วัน

ส่วนบุคลากรทางการแพทย์ผู้ใกล้ชิดของผู้ป่วยรายนี้มีทั้งหมด 77 คน ทาง รพ. ได้ทำการตรวจซ้ำแบ่งกลุ่มเสี่ยง ใครอยู่ในกลุ่มเสี่ยงมาก ก็จะให้หยุดพักงาน 14 วัน สำหรับแพทย์ที่รักษา จากการตรวจไม่พบว่ามีอาการติดเชื้อ ได้หยุดทำงาน 1-2 วัน ตอนนี้มาทำงานตามปกติแล้ว