รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย วิเคราะห์ 3 แนวทาง ตัดสินคดีเงินกู้ 191 ล้านบาทของพรรคอนาคตใหม่ 21 กุมภาพันธ์ นี้ เชื่อ พรรคอนาคตใหม่ มีการเตรียมพร้อมรับมือ หากถูกยุบพรรค

รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย รองศาสตราจารย์ประจำสาขาวิชาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช วิเคราะห์ 3 แนวทาง การตัดสินคดีเงินกู้ของพรรคอนาคตใหม่ในวันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์นี้ 3 แนวทาง ที่มีโอกาสเป็นไปได้ คือ

1.ศาลยกคำร้อง ซึ่งอาจจะยกคำร้องด้วยเหตุของข้อกฎหมาย หรืออาจจะยกคำร้องด้วยเหตุของข้อเท็จจริง พยานหลักฐาน จะเป็นลักษณะการยกคำร้อง ที่พรรคอนาคตใหม่ ได้ไปต่อ โดยไม่มีการยุบพรรค ไม่มีการตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค และไม่มีการริบเงินบริจาค
2.ไม่ยุบพรรค แต่ว่าอาจจะมีการริบเงินในส่วนที่เกินกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นไปตามบทบัญญัติในมาตรา 66 ของกฎหมายพรรคการเมือง ที่ห้ามไว้ว่า บุคคลห้ามบริจาคเงินให้พรรคการเมืองเกิน 10 ล้านบาทต่อปี รวมกันทุกพรรค ในกรณีเงินกู้ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ 191 ล้านบาท ก็อาจจะถูกวินิจฉัยไปได้ว่า แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นเงินกู้ แต่ว่าเป็นเงินบริจาค ถ้าเข้าข่ายตรงนี้ก็ถือว่า เงินส่วนเกินจาก 10 ล้านบาท จะต้องถูกยึดเข้าสู่กองทุนพัฒนาพรรคการเมือง แล้วก็จะมีการปรับพรรคการเมือง ประมาณ 1 ล้านบาท ตามบทบัญญัติของกฎหมาย
3.ยุบพรรคและตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค ซึ่งแนวนี้จะเป็นแนวทางที่รุนแรง เพราะว่าจะทำให้พรรคถูกยุบ บรรดา สส.ก็ต้องไปหาพรรคสังกัดใหม่ ภายใน 60 วัน ในขณะเดียวกันกรรมการบริหารพรรค ในวันที่เกิดเหตุแห่งการกู้เงิน ตอนนี้มี 11 คน แต่ถ้าลบนายธนาธร ซึ่งถูกตัดสิทธิ์ไปก่อนหน้านี้แล้ว ก็จะเหลือกรรมการบริหารพรรค 10 คน ก็จะสิ้นสภาพการเป็น สส.ด้วย แล้วก็จะมีการตัดสิทธิ์ทางการเมือง ข้อนี้จะส่งผลกระทบกับพรรคอนาคตใหม่และกรรมการบริหารพรรคมากที่สุด

ถ้าหากมีการยุบพรรคเกิดขึ้นจริง หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น?

ถ้าหากมีการยุบพรรคเกิดขึ้น ส่วนตัวเชื่อว่าพรรคอนาคตใหม่มีการเตรียมการในเชิงยุทธศาสตร์เอาไว้มากพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเชื่อมต่อการเมืองในสภาและนอกสภา ซึ่งจะเห็นได้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในคดีเงินกู้อย่างเดียว แต่ช่วงก่อนหน้านี้ที่ นายธนาธร พ้นสภาพการเป็น ส.ส ทางพรรคอนาคตใหม่ ทางพรรคคงจะเริ่มมีการวางยุทธศาสตร์เหล่านี้แล้ว ดังนั้นเราจะมองเห็นว่าพรรคอนาคตใหม่ ดูเหมือนจะไม่กังวลกับการที่จะถูกยุบพรรคหรือไม่จากคดีเงินกู้ เพราะว่าหลายๆอย่าง มีการเตรียมการเชื่อมต่อการเมืองในสภากับนอกสภาไว้แล้ว เช่น จะมีการจัดเวทีอภิปราย ไม่ไว้วางใจนอกสภา การจัดตั้งกลุ่มพินอคคิโอ ที่จะติดตามการทำงานต่างๆของรัฐบาล หรือ แม้กระทั่งการที่ นายธนาธร ใช้ยุทธศาสตร์เคลื่อนไหวในเวที เช่น เวทีเสวนา เวทีปราศรัยย่อย หรือแม้กระทั่งการลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชน ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากที่นายธนาธร ไม่ได้เป็น สส.ทางพรรค ก็ต้องพยายามที่จะสร้างพื้นที่ให้กับธนาธร เพราะว่านายธนาธรก็เรียกได้ว่าเป็นไอคอน หรือเป็นสัญญะทางการเมืองของพรรคอนาคตใหม่ ถ้าหากนายธนาธร ไม่มีพื้นที่ในสภา และนอกสภา วันหนึ่งนายธนาธร ก็จะถูกกลืนกลายหายไป ทางพรรคจึงต้องรักษาตรงนี้ไว้

ถ้าหากมีการยุบพรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้น ไม่ลำพังแค่นายธนาธร รอบนี้กรรมการบริหารพรรค เกือบทั้งหมด ที่เป็นแกนนำ ก็จะถูกตัดสิทธิ์ไปด้วย ดังนั้นบุคคลเหล่านี้ต้องมีที่ยืน อาจจะกลับมาเป็นขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม พรรคอนาคตใหม่ มีจุดเริ่มต้นจากการเป็นขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมมาก่อน แล้วก็ไปสู่เรื่องของการเป็นพรรคการเมือ งแต่แน่นอนเมื่อเป็นขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม ก็จะทำให้พลังต่างๆอ่อนแรงลง เพราะว่าไม่ได้มีกฎหมายที่รองรับ ไม่ได้มี สส.ในสภา ไม่ได้มีบทบาทหน้าที่โดยตรง ซึ่งพรรคอนาคตใหม่ก็ยอมรับ ว่ามีการเตรียมการพรรคใหม่เอาไว้แล้ว เพื่อจะให้สส.ที่เหลืออยู่ประมาณ 69 คน มาสังกัดพรรคนี้ แต่พลังก็จะไม่เหมือนกับการที่มีแกนนำอยู่ เพราะคำตอบ ของอนาคตใหม่ไม่ได้อยู่ที่คะแนนเสียงในสภา คำตอบของพรรคอนาคตใหม่ อยู่ที่การสร้างแรงสั่นสะเทือนในสภา จึงต้องอาศัยแกนนำ ซึ่งในวันนี้พรรคอนาคตใหม่ยังไม่สามารถสร้างบุคลากรทางการเมืองได้ทัน

กรรมการบริหารพรรค 11 คน ถ้าหากสิ้นสภาพจะไปคำนวณเป็นสส.บัญชีรายชื่อใหม่ทั้งประเทศ เพื่อไปกระจายพรรคการเมืองอื่นได้หรือไม่?

การคํานวณ สส.บัญชีรายชื่อใหม่ ต้องเป็นเหตุที่เกิดขึ้นจากการทุจริตการเลือกตั้ง ในการยุบพรรคอนาคตใหม่ครั้งนี้ ถ้าเกิดเหตุแห่งการยุบพรรคขึ้นจริง ไม่ได้เป็นการทุจริตการเลือกตั้ง แต่เป็นเรื่องของการกู้เงินพรรค ถ้าหากเป็นเรื่องของการกู้เงินพรรค ก็จะไม่มีการคำนวณ สส.บัญชีรายชื่อใหม่ให้กับพรรคการเมืองใดๆ แม้กระทั่งพรรคอนาคตใหม่เองก็จะไม่ได้รับการคำนวณใดๆอีกแล้ว เนื่องจากว่าสิ้นสภาพของการเป็นพรรคการเมืองไปแล้ว ถ้าหากเกิดการยุบพรรคจริง ก็จะไม่มีการคำนวณ สส.บัญชีรายชื่อใหม่ แต่ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ในสภาผู้แทนราษฎรจะมี สส.ที่ทำหน้าที่ได้เกินกว่าร้อยละ 95 หรือไม่ เพราะถ้ามี สส.ไม่ถึงร้อยละ 95 เปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้ นี่เป็นสิ่งที่น่ากังวล

 

https://www.facebook.com/thaich8news/videos/148754946145083/