สภาอภิปรายงบ 63 ครึ่งวันแรก ผ่านไปเพียง 6 มาตรา ขณะที่สมาชิกส่วนใหญ่ตั้งข้อสังเกต วางงบกลางสูงเกินจริง แถม กมธ.ยังไม่ปรับสักบาท มีพิรุธ​ไว้ชดเชยแพ้คดีเหมืองทองอัคราหรือไม่

การประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดพิเศษ เพื่อการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 วงเงินงบประมาณ 3 ล้าน 2 แสนล้านบาท ครึ่งวันแรก บรรยากาศเป็นไปอย่างเรียบร้อย ส.ส.สลับกันลุกขึ้นอภิปรายแสดงความคิดเห็นอย่างหลากหลาย จนถึงขณะนี้พิจารณาผ่านไปแล้ว 6 มาตรา จากทั้งหมด 55 มาตรา

โดยช่วงเย็นที่ประชุมเสียเวลากับการพิจารณามาตรา 6 งบกลาง วงเงินงบประมาณกว่า 5 แสน 1 หมื่น 8 พันล้านบาท ค่อนข้างมาก เนื่องจากมีผู้สงวนความเห็นจำนวนมาก เพราะงบกลางของ ปี 2563 เป็นงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรมากที่สุด และมากกว่าปีที่ผ่านมาด้วย ที่สำคัญในชั้นกรรมาธิการฯ ไม่มีการปรับลดเลยแม้แต่บาทเดียว

ทั้งนี้ สมาชิกส่วนใหญ่อภิปรายพุ่งเป้าไปที่งบประมาณเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็น กว่า 9 หมื่น 6 พันล้านบาท ที่มองว่า เป็นการตั้งงบประมาณสูงเกินไป และไม่มีการนำมาใช้จ่ายจริง อีกทั้งเหลือเวลางบประมาณเพียง 6 เดือนเท่านั้น ทำให้เกิดความกังขาว่าตั้งไว้แบบมีเลศนัย เพราะผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจการใช้งบดังกล่าวคือนายกรัฐมนตรีที่จะเบิกจ่ายได้ตามอำเภอใจ

อย่างนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว กรรมาธิการเสียงข้างน้อย อภิปรายว่า ไม่ควรตั้งงบกลางไว้สูงถึง 9.6 หมื่นล้านบาท เพราะจากสถิติที่ใช้จ่ายจริงในแต่ละปี งบประมาณไม่เกิน 6 หมื่นล้านบาท จึงเห็นควรปรับลดลงให้เหลือเท่าที่ใช้จ่ายจริง พร้อมตั้งข้อสังเกตการตั้งงบประมาณไว้สูง เนื่องจากรัฐบาลต้องการนำเงินไปจ่ายชดเชยหากแพ้คดีเหมืองทองคำอัคราใช่หรือไม่ 

เช่นเดียวกับนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ที่มองว่า การตั้งงบประมาณกลางไว้สูงไม่ได้เพื่อแก้ปัญหามห้กับประชาชน แต่เพื่อไปจ่ายค่าโง่ในหลายกรณี โดยเฉพาะชดเชยหากแพ้คดีเหมืองทองคำอัครา และไม่มีสิ่งใดการันตีได้ว่าการใช้งบประมาณเหล่านี้จะถูกต้องตามวัตถุประสงค์ เพราะมีบทเรียนจากการใช้เงินงบประมาณของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาในอดีตมาแล้ว

แต่ท้ายที่สุด ที่ประชุมลงมติผ่านงบกลาง ด้วยคะแนน 239 ต่อ 78 งดออกเสียง 148 และพิจารณามาตรา 7 ซึ่งเป็นงบในส่วนของสำนักนายกรัฐมนตรีต่อ