รองโฆษกอัยการสูงสุด ระบุเป็นเรื่องยากที่จะดำเนินคดีข้อหาเจตนาฆ่ากับผู้ที่เมาแล้วขับ เพราะยังไม่เข้าเงื่อไขของการกระทำความผิด พร้อมเสนอให้ปรับเพิ่มโทษ พรบ.จราจรทางบกแทน เพื่อทำให้คนเกรงกลัวที่จะทำผิด

ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา รัฐบาลได้กำหนดมาตรการใหม่ที่ใช้เพื่อลดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะกรณีเมาแล้วขับไปชนผู้อื่นจนเสียชีวิต โดยให้ตำรวจตั้งข้อหา "เจตนาฆ่า" ถ้าบาดเจ็บสาหัสก็ตั้งข้อหา "พยายามฆ่า" โดยใช้ช่องทางตามประมวลกฎหมายอาญา ในส่วนของ "เจตนาเล็งเห็นผล" ว่า จะทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต

แต่ในความเป็นจริง เมื่อเกิดเหตุขึ้น อย่างกรณีเสี่ยเบนซ์เมาแล้วขับ จนทำให้รองผู้กำกับการ 2 กองปราบปราม พร้อมภรรยาเสียชีวิต และลูกสาวได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ศาลกลับไม่รับฝากขังในข้อเจตนาฆ่าผู้อื่น และพยายามฆ่าผู้อื่น

ทีมข่าวช่อง 8 ได้พูดคุยกับนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกอัยการสูงสุด ถึงเรื่องดังกล่าวว่า มีความเป็นไปได้แค่ไหน ที่จะเอาผิดพวกเมาแล้วขับด้วยข้อหานี้

รองโฆษกอัยการสูงสุด ยืนยันว่า เป็นไปได้ยากที่จะดำเนินคดีข้อหาเจตนาฆ่าผู้อื่น เพราะคำว่า เจตนาเล็งเห็นผล หมายถึงผู้กระทำจะต้องตั้งใจ หรือเตรียมที่จะก่อเหตุ แต่การเมาแล้วขับคงไม่มีใครตั้งใจที่จะไปชนคนตาย พร้อมเสนอให้มีการปรับเพิ่มโทษข้อหาเมาแล้วขับแทน

ส่วนกรณีที่มีการวิพากย์วิจารณ์ว่า ข้อหาเมาแล้วขับ ในพระราชบัญญัติจราจรทางบก ที่มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3-10 ปี แต่ส่วนใหญ่ผู้กระทำผิดมักไม่ค่อยได้รับโทษ หรือได้รับโทษน้อย รองโฆษกอัยการสูงสุด ยืนยันว่า ไม่ใช่ทุกคดีที่ศาลจะอนุญาตให้รอลงอาญา โดยศาลจะดูจากพฤติการณ์ของผู้กระทำผิดว่า มีการแสดงความรับผิดชอบมากน้อยแค่ไหน

รองโฆษกอัยการสูงสุด ยังเชื่อมั่นว่า การเพิ่มโทษในพระราชบัญญัติจราจรทางบก น่าจะเป็นส่วนหนึ่งช่วยให้คนเกิดความเกรงกลัวไม่กระทำผิด แต่ในระหว่างนี้ อาจจะเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องที่จะต้องบังคับใช้กฎหมายที่มีให้เข้มงวด เพื่อลดอุบัติเหตุ ลดการสูญเสีย

เมาแล้วขับ เท่ากับเจตนาฆ่า