ทนายความ ระบุ กรณีคนขับรถจักรยานยนต์ชนคนบนทางเท้าได้รับบาดเจ็บ การแจ้งข้อหาต้องดูที่เจตนาของผู้กระทำความผิดเป็นหลัก เพราะหากพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาเกินความเป็นจริงก็อาจเข้าข่ายได้รับโทษทางอาญาได้

จากกล้องวงจรปิดที่บันทึกภาพชายวัยรุ่น 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์ขึ้นบนทางเท้าบีบแตรใส่ นายศศะวสุ ช่ำชองยนต์ อายุ 55 ปี ที่ยืนอยู่ให้หลบทางให้ แต่นายศศะวสุ ไม่หลบ เพราะเห็นว่ารถจักรยานยนต์กระทำผิดกฎหมาย พร้อมเอ่ยปากต่อว่า จากนั้นเพียงไม่นานชายวัยรุ่นได้ขับจักรยานยนต์วนรถกลับมาพุ่งชนจนผู้เสียหายล้มลงกับพื้นได้รับบาดเจ็บ ภาพดังกล่าวถูกแชร์บนโลกโซเชียลจนมีคนวิพากษ์วิจารณ์ว่าพฤติกรรมของวัยรุ่นชายที่ทำน่าจะเข้าข่ายความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น แต่พนักงานสอบสวนสน.นางเลิ้ง กลับแจ้งเพียงข้อหาทำร้ายร่างกาย

ทีมข่าวช่อง 8 ได้สอบถามประเด็นนี้ไปยังนายเกิดผล แก้วเกิด ทนายความ มองว่าการแจ้งข้อกล่าวหาต้องดูเจตนาของผู้กระทำความผิด ว่าต้องการให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายถึงกับเสียชีวิตหรือไม่ แต่จากภาพวงจรปิด พบว่าคู่กรณีชนผู้เสียหายเพียงครั้งเดียว และผู้เสียหายไม่ได้รับบาดเจ็บถึงกับเป็นอันตรายกับชีวิต ซึ่งยังไม่เข้าเงื่อนไขของการแจ้งข้อหาพยายามฆ่า

ทนายเกิดผล ยังระบุว่า หากผู้เสียหายไม่พอใจที่ตำรวจแจ้งข้อหาเพียงทำร้ายร่างกายก็สามารถแต่งตั้งทนายความให้ไปฟ้องร้องทางคดีอาญาที่ศาลเองได้ และอยากขอให้เข้าใจการทำงานของพนักงานสอบสวน เพราะหากแจ้งข้อหาเกินความเป็นจริง พนักงานสอบสวนก็อาจจะมีความผิดฐานกลั่นแกล้งผู้อื่นให้ได้รับโทษเกินความเป็นจริง

ส่วนการที่คู่กรณีจะจ่ายค่าสินไหมให้กับผู้เสียหายที่ได้รับบาดเจ็บ และให้ทำเอกสารยอมความไม่ฟ้องร้องนั้นตนเองมองว่าเป็นเรื่องของการไม่เรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มเติมทางแพ่งเพียงเท่านั้น เพราะคดีทำร้ายร่างกาย ถือเป็นคดีอาญาที่ไม่สามารถยอมความได้

ทนาย ชี้จยย.ชนคนบนฟุตบาทต้องดูเจตนาเป็นหลัก