"นิด้าโพล" เผยผลสำรวจประชาชนทั่วประเทศ พบว่า "พล.อ.ประยุทธ์" ขึ้นแท่นอันดับ 1 คนโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป รองลงมาเป็น "สุดารัตน์ - ธนาธร - อภิสิทธิ์ - เสรีพิศุทธ์"

ศูนย์สำรวจความคิดเห็น นิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็น เรื่อง "ประชาชนอยากได้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ตามกฎหมายเลือกตั้งปัจจุบัน (ครั้งที่ 4 )" สำรวจระหว่างวันที่ 17-18 ก.ย. ที่ผ่านมาจากประชาชนที่มีอายุ 18 ขึ้นไปทั่วประเทศ จำนวน 1,251 ตัวอย่าง เมื่อถามถึงพรรคการเมืองที่ประชาชนอยากให้มาเป็นรัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งต่อไป พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 61.63 ระบุว่า พรรคการเมืองพรรคใหม่ๆ เพราะอยากเห็นคนใหม่ๆ นโยบายใหม่ๆ แนวคิดใหม่ๆ เข้ามาบริหารและพัฒนาประเทศในทิศทางที่ดีขึ้น ร้อยละ 37.49 ระบุว่า พรรคการเมืองพรรคเก่า เพราะมีความรู้ความสามารถและประสบการณ์

ด้านบุคคลที่ประชาชนอยากให้เป็นนายกรัฐมนตรี ตามกฎหมายเลือกตั้งปัจจุบัน พบว่า

อันดับ 1 ร้อยละ 29.66 เลือก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
อันดับ 2 ร้อยละ 17.51 เลือก คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย
อันดับ 3 ร้อยละ 13.82 เลือก นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ว่าที่หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่
อันดับ 4 ร้อยละ 10.71 เลือก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
อันดับ 5 ร้อยละ 5.28 เลือก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย และ พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
อันดับ 7 ร้อยละ 4.64 นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี
อันดับ 8 ร้อยละ1.92 ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล หัวห้นาพรรครวมพลังประชาชาติไทย
อันดับ 9 ร้อยละ 1.76 นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี
อันดับ 10 ร้อยละ 1.52 นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ว่าที่หัวหน้าพรรคประชาชาติไทย
และอันดับ 11 ร้อยละ 1.44 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ จากพรรครวมพลังประชาชาติไทย

สำหรับปัญหาที่อยากให้นายกฯ คนต่อไปเข้ามาแก้ไขมากที่สุด พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 41.81 ปัญหาปากท้องและหนี้สินของประชาชน ร้อยละ 25.42 ปัญหาราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำ ร้อยละ 11.67 ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน

เมื่อถามความเชื่อมั่นจะมีการเลือกตั้งในเดือน ก.พ. 2562 โดยไม่มีการเลื่อนออกไปอีก ส่วนใหญ่ร้อยละ 52.76 ไม่เชื่อมั่น เพราะยังไม่มีความพร้อม ไม่ชัดเจนในหลายเรื่อง สถานการณ์บ้านเมืองยังไม่ปกติ มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แลเลื่อนเลือกตั้งมาแล้วหลายคัร้งทำให้ขาดความเชื่อมั่น รองลงมาร้อยละ 45.16 เชื่อมั่น เพราะสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ เป็นไปตามโรดแมปที่รัฐบาลวางไว้และเชื่อมั่นความสามารถและความพร้อมของรัฐบาล ร้อยละ 2.08 ไม่แน่ใจ

เมื่อถามถึงพรรคการเมืองที่ประชาชนอยากให้ได้คะแนนเสียงมากที่สุด และเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล (10 อันดับแรก) พบว่า

อันดับ 1 ร้อยละ 28.78 ระบุว่าเป็น พรรคเพื่อไทย

อันดับ 2 ร้อยละ 20.62 ระบุว่าเป็น พรรคพลังประชารัฐ

อันดับ 3 ร้อยละ 19.58 ระบุว่าเป็น พรรคประชาธิปัตย์

อันดับ 4 ร้อยละ 15.51 ระบุว่าเป็น พรรคอนาคตใหม่

อันดับ 5 ร้อยละ 4.16 ระบุว่าเป็น พรรคเสรีรวมไทย

อันดับ 6 ร้อยละ 2.56 ระบุว่าเป็น พรรคประชาชาติ

อันดับ 7 ร้อยละ 2.40 ระบุว่าเป็น พรรครวมพลังประชาชาติไทย

อันดับ 8 ร้อยละ 1.44 ระบุว่าเป็น พรรคพลังชาติไทย

อันดับ 9 ร้อยละ 1.12 ระบุว่าเป็น พรรคชาติไทยพัฒนา

และอันดับ 10 ร้อยละ 0.96 ระบุว่าเป็น พรรคประชาชนปฏิรูป

ส่วนปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ใช้ในการตัดสินใจลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พบว่า ประชาชน ส่วนใหญ่ ร้อยละ 49.80 ระบุว่า เป็นบุคคลที่มีผลงานประจักษ์ ทำประโยชน์ในพื้นที่หรือต่อประเทศไทย รองลงมา ร้อยละ 22.54 ระบุว่า ชอบพรรค/นโยบายของพรรค ที่ผู้สมัครสังกัด ร้อยละ 12.07 ระบุว่า ชื่นชอบเป็นการส่วนตัว (เช่น บุคลิก หน้าตา ท่าทาง มีแนวคิดคล้ายตนเอง เป็นคนบ้านเดียวกัน เป็นต้น) ร้อยละ 10.15 ระบุว่า ต้องการได้ ส.ส. หน้าใหม่ ร้อยละ 2.32 ระบุว่า ต้องการได้นายกรัฐมนตรี ตามมติของพรรคที่ผู้สมัครสังกัด ร้อยละ 1.52 ระบุว่า เป็นอดีต ส.ส. หรือ นักการเมืองในพื้นที่ หรือ เป็นญาตินักการเมืองเดิมในพื้นที่ ร้อยละ 0.80 ระบุว่า ผู้สมัครสังกัดพรรคที่จะได้เป็นรัฐบาลแน่นอน ร้อยละ 0.16 ระบุว่า ผู้สมัครสังกัดพรรคที่อยู่ตรงข้ามกับพรรคที่ตนเองไม่ชอบ และร้อยละ 0.64 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ

สำหรับปัญหาที่อยากให้นายกคนต่อไปเข้ามาแก้ไขมากที่สุด พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 41.81 ระบุว่า ปัญหาปากท้องและหนี้สินของประชาชน รองลงมา ร้อยละ 25.42 ระบุว่า ปัญหาราคาพืชผลตกต่ำ ร้อยละ 11.67 ระบุว่า ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน การใช้อำนาจโดยมิชอบ ผู้มีอิทธิพล ร้อยละ 6.07 ระบุว่า ปัญหาการควบคุมราคาสินค้า ร้อยละ 5.91 ระบุว่า ปัญหายาเสพติด อาชญากรรม มิจฉาชีพ ร้อยละ 3.60 ระบุว่า ปัญหาการว่างงานและแรงงานนอกระบบ ร้อยละ 2.08 ระบุว่า ปัญหาด้านคุณภาพการศึกษาของเด็กไทยในปัจจุบัน ร้อยละ 0.88 ระบุว่า ปัญหาด้านสุขภาพการรักษาพยาบาล และการคุ้มครองความเสี่ยงของผู้บริโภค ร้อยละ 2.16 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ ปัญหาด้านการคมนาคม ปัญหาด้านราคาน้ำมัน ความสามัคคีปรองดองของคนในชาติ ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาด้านการบังคับใช้กฎหมาย และระบบงานราชการ และร้อยละ 0.40 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความเชื่อมั่นว่าจะมีการเลือกตั้ง ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 โดยไม่มีการเลื่อนออกไปอีก พบว่า ประชาชน ส่วนใหญ่ ร้อยละ 52.76 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่น เพราะ ยังไม่มีความพร้อม ไม่ชัดเจนในหลาย ๆ เรื่อง สถานการณ์บ้านเมืองยังไม่ปกติ มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และเลื่อนการเลือกตั้งมาแล้วหลายครั้งเลยทำให้ขาดความเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 45.16 ระบุว่า เชื่อมั่น เพราะ สถานการณ์ทางการเมืองเริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ เป็นไปตามโรดแมปที่รัฐบาลวางไว้ และเชื่อมั่นในความสามารถและความพร้อมของรัฐบาล และร้อยละ 2.08 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ

#ข่าวช่อง8 #นายกรัฐมนตรี #นิด้าโพล