แม่โพสต์เตือนภัย ลูกสาวขาบวมคิดว่าแมลงกัด ต่อมาอาการลุกลามจนเดินไม่ได้ / แพทย์ระบุเป็น “โรคฮีน็อค” หรือ โรคเส้นเลือดฝอยอักเสบเฉียบพลัน พบได้บ่อยในเด็กวัย 2-11 ปี แต่ยังไม่พบรุนแรงถึงเสียชีวิต

เรื่องราวดังกล่าวโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ผู้ใช้ชื่อ ทิพวรรณ พิงพิทยากุล (Tippawan Pingpittayakul) ระบุว่าลูกสาว วัย 4 ขวบ ขาบวมและมีผื่นขึ้นตามร่างกาย ต่อมาอาการรุนแรง จนเดินไม่ได้ จึงพามาพบแพทย์ ตรวจและ วินิจฉัยว่า เป็นโรคฮีน็อค หรือ เส้นเลือดฝอยอักเสบ ต้องการเตือนภัยให้ผู้ปกครองเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดเพราะโรคนี้เกิดได้กับ คนทุกวัย โดยเฉพาะเด็กวัย 2-11 ปี

ล่าสุด คุณฉัตรลดา ชูคง ผู้สื่อข่าวช่อง 8 ได้ลงพื้นที่ไปพูดคุยกับ นางทิพวรรณ แม่ของเด็ก เล่าวว่า เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ลูกสาวมีอาการ เจ็บขา ฝ่าเท้าบวมปูด มีจ้ำเขียวคล้ายรอยช้ำ และ จุดเล็กๆ ขึ้นตามซอกนิ้วและฝ่าเท้า  จากนั้นเริ่มมีรอยจ้ำเขียวหนักขึ้น จนเดินและแตะตัวไม่ได้ จนต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล

ซึ่ง "โรคฮีน็อค" หรือ เส้นเลือดฝอยอักเสบฉับพลัน เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน คล้ายกับโรคแพ้ภูมิตัวเอง หลังลูกสาวรักษาตัวที่โรงพยาบาล 1 สัปดาห์อาการดีขึ้น ล่าสุดกลับมาพักรักษาตัวที่บ้านได้แล้ว แต่ยังต้องสังเกตอาการตลอดเวลา

โดย แพทย์บอกว่า ไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคได้ เบื้องต้นต้องให้สเตียรอยด์ ยากดเม็ดเลือดขาว ห้ามเดินหรือทิ้งน้ำหนักตัวลงเท้า อาการ น่าจะดีขึ้น แต่ต้องติดตามสังเกตอาการอีกประมาณ 1 ปีสำหรับโรคนี้น้อยคนที่จะเป็น

ทั้งนี้ ทีมข่าวได้สอบถามไปยัง แพทย์หญิง นุชนาฎ รุจิเมธาภาส สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี เปิดเผยว่า ยังไม่แน่ชัดว่า โรคฮีน็อค เกิดจากอะไร แต่สันนิษฐานว่า อาจจะเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือ เชื้อไวรัส ทำให้เส้นเลือดฝอยอักเสบตามมา มีผื่นคล้ายยุงกัด ขึ้นบริเวณผิวหนัง แต่ไม่มีอาการคัน

แขนขาบวม ปวดท้อง ถ้าอาการหนัก จะถ่ายเป็นเลือด เพราะเลือดออกในลำไส้ หรือ อาจปัสสาวะเป็นเลือด เบื้องต้น แนะนำว่า หากพบว่า บุตรหลานเป็นผื่นที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆไม่หาย แขนขาบวม กดแล้วไม่ยุบให้รีบมาพบแพทย์

สำหรับโรคดังกล่าว เกิดได้กับคนทุกวัย และ เป็นได้ทุกฤดูกาล ส่วนมาก พบโดยเฉพาะเด็กวัย 2-5 ปี ไม่เป็นโรคติดต่อ ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์ หากไม่มีอาการแทรกซ้อน แต่ก็ยังจำเป็นต้องติดตามอาการตลอด 1 ปี โดยห้ามผู้ป่วยวิ่ง ออกกำลังกายหนัก เพราะโรคนี้อาจกลับมาเป็นซ้ำได้อีก ในประเทศไทยยังไม่มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ แต่ป้องกันไม่ได้ ผู้ปกครองจึงต้องหมั่นสังเกตความผิดปกติของบุตรหลาน เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างถูกต้องและทันเวลา