ชาวอายุ 28 ปี ชาวจังหวัดบุรีรัมย์ โพสต์ตัดพ้อชีวิตผิดหวังเรื่องความรัก ก่อนไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊ก กินยาฆ่าแมลง เพื่อหวังฆ่าตัวตายในรีสอร์ทแห่งหนึ่ง แต่เพื่อนในเฟซบุ๊ก เข้ามาเห็นก่อน จึงประสานเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลือนำตัวส่งโรงพยาบาลได้ทัน
ชายอายุ 28 ปี ชาว ต.โคกเหล็ก อ.ห้วยราช จ.บุรีรัมย์ ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อช่วงค่ำวานนี้่ (19พ.ย.) ในเชิงตัดพ้อกับชีวิตของตัวเอง ก่อนจะกินยาฆ่าแมลงในขวดที่เตรียมไว้หลายครั้ง เพื่อหวังจะฆ่าตัวตาย ก่อนจะเห็นภาพสุดท้ายเป็นภาพที่หนุ่มคนดังกล่าวฟุบแน่นิ่งลงไป
ชายคนดังกล่าว ยังได้โพสต์ข้อความว่า “ชีวิตมันหมดความหมาย ขอโทษทุกคนน่ะคับ" #ขอบคุณสำหรับความรักครั้งสุดท้าย...อโหสิกรรมให้ผมด้วย...คงไม่หวนกลับคืน ผมคิดดีแล้วกำลังใจผมไม่มีแล้ว เพื่อนฝูงผมรักทุกคนรักด้วยใจ แฟนผม ผมรักสุดหัวใจ ขอโทษนะคับที่ทำแบบนี้”
แต่ขณะที่ชายคนดังกล่าวได้ไลฟ์สด เพื่อนในเฟซบุ๊กเห็นเหตุการณ์ จึงพยายามติดต่อประสานกับเจ้าหน้าที่ เพื่อให้ช่วยตรวจสอบว่า สถานที่เกิดเหตุอยู่ที่ไหน ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะเข้าช่วยเหลือหนุ่มคนดังกล่าวไว้ได้
โดยประสานส่งตัวไปยังโรงพยาบาลบุรีรัมย์ ล่าสุดนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล โดยมีญาติเฝ้าดูอาการอยู่ ขณะนี้อาการพ้นขีดอันตรายแล้วและสามารถพูดคุยสื่อสารได้ แต่ยังต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ส่วนจุดเกิดเหตุอยู่ในรีสอร์ทแห่งหนึ่งในอำเภอเมือง จ.บุรีรัมย์ ส่วนสาเหตุที่หนุ่มคนดังกล่าวคิดสั้น กรอกยาฆ่าตัวตาย เบื้องต้น ทราบว่า ชายคนดังกล่าวมีความผิดหวังกับปัญหาหลายอย่าง และ น้อยใจในชีวิต จนทำให้คิดสั้น แต่โชคดีที่มีคนช่วยนำส่งโรงพยาบาลได้ทัน
อธิบดีกรมสุขภาพจิต แนะ 5 วิธีช่วยเหลือคนฆ่าตัวตายผ่านไลฟ์สด
ขณะเดียวกัน นาวาอากาศตรี นายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า การถ่ายทอดสดทำร้ายตัวเองเผยแพร่ออกไป ถือเป็นสิ่งที่น่าห่วงและพบบ่อย คือ การแสดงความคิดเห็น แบบยั่วยุ ท้าทาย
ซึ่งทุกคนในโลกโซเชียล สามารถช่วยได้ โดยยึดหลัก 5 อย่า ได้แก่ อย่าท้าทาย เช่น คำว่า “ทำเลย” “กล้าทำหรือเปล่า” อย่าใช้คำพูดเยาะเย้ย ตำหนิ ด่าว่า เพราะจะเพิ่มโอกาสทำมากยิ่งขึ้น อย่านิ่งเฉย อย่าแชร์ และ อย่าติดตามการถ่ายทอดสดจนจบ เพราะอาจส่งผลกระทบต่อจิตใจตนเอง ส่วนสิ่งที่ควรทำ คือ ห้าม ชวนคุย หรือประวิงเวลา และควรติดต่อหาความช่วยเหลือ
ขณะที่ พันตำรวจเอก สมเกียรติ เฉลิมเกียรติ รองผู้บังคับการตำรวจปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือปอท. เปิดเผยว่า เรื่องดังกล่าวหากเป็นความผิดทางอาญา จะถือเป็นความผิดลหุโทษ เนื่องจากทำให้ผู้อื่นตกใจหรือหวาดกลัว แต่กฎหมายของ ปอท.ยังไม่มีการเอาผิดในเรื่องดังกล่าว แต่ที่ผ่านมาเคยมีการตักเตือนไปบ้างแล้ว