เครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจ จัดเวทีเสวนาเรื่อง ประชาชนสุดทนแฉ! ขบวนการส่วยตำรวจไทย หายนะภัยของของชาติและประชาชน โดยเปิดเผยข้อมูลในการเรียกเก็บส่วยในพื้นที่ภูเก็ต

นายธรรมรัตน์ สุวรรณโพธิศรี หรือ โจ้ สปอร์ตไลท์ภูเก็ต ตัวแทนผู้ประกอบการในจังหวัดภูเก็ต ออกมาเปิดเผยถึงการเรียกรับสินบนของตำรวจในจังหวัดภูเก็ต โดย นายธรรมรัตน์ ระบุว่า ตนเองทำธุรกิจอยู่ในพื้นที่หาดป่าตอง และมีการเรียกรับสินบนของตำรวจ มานานแล้ว แต่เมื่อช่วงปี 2553 มีการซื้อขายตำแหน่งผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรป่าตอง ประมาณ 40 ล้านบาท

และ เมื่อตำรวจพื้นที่เก็บสินบนได้แล้ว ก็ไม่แบ่งให้กับตำรวจหน่วยอื่น ทำให้ตำรวจหลายหน่วยต้องลงไปเรียกรับสินบนกับผู้ประกอบการเอง ซึ่งมีจำนวนมาก และ ผู้ประกอบการบางรายแบกรับภาระไม่ไหว เพราะจังหวัดภูเก็ตเป็นเมืองที่มีแต่การท่องเที่ยว บางครั้งช่วงโลซีซั่นทำให้รายได้ก็ไม่ได้ดีมากนัก จึงตัดสินใจออกมาเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว

สำหรับธุรกิจที่ต้องจ่ายสินบนให้กับตำรวจในจังหวัดภูเก็ตแบ่งเป็น 3 ประเภทหลักๆ คือ ธุรกิจสถานบันเทิง ที่ต้องปิดเกินเวลา และ ธุรกิจที่ต้องใช้แรงานต่างด้าว ที่ไม่มีคนไทยทำ รวมทั้งธุรกิจค้าขายสินค้าผิดกฎหมาย ซึ่งต้องจ่ายสินบนให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึง 33 หน่วย เป็นเงินจำนวน 150,000 บาทต่อเดือน

โดยตำรวจพื้นที่ของธุรกิจ นั้นๆ จะได้เก็บสินบนมากที่สุด เดือนละ 20,000 บาท รองลงมาคือ ตำรวจท่องเที่ยวเดือนละ 15,000 บาท และ ยังมีตำรวจหน่วยอื่นๆ ทั้ง บก.ปคบ. และ บก.ปคม. ที่จะเก็บสินบนกับทัวร์จีน ที่เข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตจำนวนมาก หรือ เข้าไปมีหุ้นส่วนกับบริษัทนั้นๆ เพื่อจะได้ส่วนแบ่งกับบริษัทนั้นๆ

ด้าน พันตำรวจเอก วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร อดีตรองผู้บังคับการจเรตำรวจและที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการปฏิรูปตำรวจ สภาปฏิรูปแห่งชาติ ยอมรับว่า ปัญหาเรียกรับสินบนของตำรวจยังมีอยู่มากและหลายรูปแบบ นอกจากสถานบันเทิงแล้ว ยังมีการเรียกรับสินบนจากรถบรรทุก และ สินค้าลิขสิทธิ์ ที่ปัจจุบันจะมีบุคคลอื่นมาเป็นผู้เก็บสินบนแทนตำรวจ เพื่อลดปัญหาภาพลักษณ์ หรือ เข้าไปเป็นหุ้นส่วนของบริษัทเพื่อที่จะได้ส่วนแบ่ง

ซึ่งก็อยากให้ประชาชนออกมาเป็นเผยข้อมูล เช่นเดียวกับนายธรรมรัตน์ เพราะเชื่อว่า แต่ละพื้นที่ต้องมีปัญหานี้แต่ไม่มีใครออกมาเปิดเผยข้อมูล ซึ่งหากแต่ละพื้นที่ทำตามก็อาจจะทำให้ปัญหานี้ลดน้อยลง

เครือข่ายประชาชนปฏิรูปฯ จัดเสวนาส่วยตำรจไทย