หนึ่งในผู้ต้องหาขบวนการค้านอแรดข้ามชาติ มูลค่ากว่า 173 ล้านบาท เข้ามอบตัวกับทางตำรวจแล้ว หลังถูกออกหมายจับ และกดดันอย่างหนัก

เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ คุมตัวนางฐิติรัตน์ อาราอิ อายุ 56 ปี ผู้ต้องหา ตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรปราการ ในข้อหานำหรือพาของที่ยังไม่ได้เสียภาษี หรือของต้องห้ามต้องกำกัดฯตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2482 พ.ร.บ.สงวน และคุ้มครองสัตว์ป่าฯ และพ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ ได้เข้ามอบตัวกับทางตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ เมื่อช่วงสายของวันนี้ โดยเจ้าหน้าที่คุมตัวมาสอบปากคำ ซึ่งมีพล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้รับผิดชอบในคดีนี้เดินทางมาสอบปากคำด้วยตนเอง ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่อย่างเข้มงวด

จากการสอบปากคำ เบื้องต้นผู้ต้องหายังให้การภาคเสธ อ้างว่าตนเองรู้จักกับนางอ้อย หรือนางสาวกานต์สินี อนุตรานุสาสตร์ อายุ 41 ปี ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับ และอยู่ระหว่างการหลบหนี โดยตนเองรู้จักกันในฐานะร่วมทำธุรกิจเศษผ้าส่งออกเท่านั้น ในวันเกิดเหตุ คือวันที่ 10 มี.ค. 2560 ที่ผ่านมา หลังจากตนเองเดินทางกลับมาจากท่องเที่ยวที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา มายังสนามบินสุวรรณภูมิ ก็ได้รับการติดต่อผ่านโทรศัพท์จากนางอ้อย ว่าขณะนี้อยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิเช่นกัน และขอให้ไปรับกระเป๋าเดินทางภายในบรรจุเสื้อผ้าที่เตรียมนำมาจำหน่าย ซึ่งผู้ต้องหารายนี้อ้างว่าไม่ทราบว่าภายในมีการบรรจุนอแรดไว้ คิดว่ามีเพียงเสื้อผ้าตามที่นางอ้อยแจ้งกับตนเอง

จึงไปนั่งรอรับกระเป๋าใบดังกล่าวที่สายพาน9 โดยนางอ้อยได้บอกระบุตำหนิรูปพรรณของกระเป๋า จนกระทั่งตนรับกระเป๋าใส่รถเข็นเดินออกมาหานางอ้อย และมาถึงเจ้าหน้าที่เรียกตรวจจึงพากันแยกย้ายหลบหนี

ด้าน พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ระบุว่า จากคำให้การของผู้ต้องหาที่ให้การภาคเสธนั้นถือเป็นสิทธิ์ของผู้ต้องหาที่สามารถให้การชั้นสอบสวน อย่างไรก็ตามพยานหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมีอยู่นั้น มั่นใจว่าสามารถแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีกับผู้ต้องหารายนี้ได้ ในเบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเกรงว่าจะกระทบต่อพยานหลักฐานที่เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างรวบรวมอยู่

ส่วนประเด็นที่พบว่ามีเจ้าหน้าที่อัยการ และเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปอำนวยความสะดวกนั้น อยู่ระหว่างสอบสวนทางอาญาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้านอแรดในครั้งนี้หรือไม่ ส่วนการสอบสวนทางวินัยเป็นหน้าที่ของอัยการสูงสุดที่จะดำเนินการ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปรากฎในภาพวงจรปิดขณะนี้ได้มอบหมายให้ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการสั่งการให้ไปช่วยราชการที่สำนักงานตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการแล้ว และอยู่ระหว่างสอบสวนทั้งอาญา และทางวินัย หากพบว่ามีส่วนรู้เห็นก็จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดทันที

แต่ในเบื้องต้นจากคำให้การของนายตำรวจทั้งสองให้การว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าว และไม่รู้เห็นว่าภายในมีการบรรจุนอแรดมา สาเหตุที่เข้าไปอำนวยความสะดวก เนื่องจากทางด้านอัยการคนดังกล่าวมาติดต่อขอให้ไปช่วยอำนวยความสะดวกให้เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับนาย และเป็นสิ่งที่ทำได้ในสนามบิน

ขณะที่เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมของกรมศุลการกรออกมาให้ข้อมูลที่น่าสนใจกับทีมข่าวว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่าภายในมีการบรรจุนอแรดซุกซ่อนเข้ามาทำให้ พ.ต.ท.วรภาส บุญศรี รองอัยการจังหวัดสระบุรี ได้เข้ามาแสดงตนว่าเป็นเจ้าหน้าที่อัยการ เพื่อจะขอใช้สิทธิ์ในการผ่านกระเป๋าใบดังกล่าว แต่เจ้าหน้าที่กรมศุลกากรไม่ยินยอม ทำให้รองอัยการท่านนี้พยายามยื้อเวลา โดยอ้างว่าจะติดต่อเจ้าของกระเป๋ามาเปิดกระเป๋าด้วยตนเอง แต่ทางเจ้าหน้าที่ไม่สนใจ และนำกระเป๋าใบดังกล่าวมาตรวจสอบ โดยมีรองอัยการท่านนี้ตามเข้ามาสังเกตการอย่างใกล้ชิด หลังจากนั้นเจ้าตัวพยายามพูดคุย และเสนอสินบนให้กับชุดจับกุมของกรมศุลกากร แต่ไม่เป็นผลจนกระทั่งนำมาซึ่งการยึดนอแรดมูลค่ามหาศาลในครั้งนี้

ขณะที่จากการเจาะข้อมูลเชิงลึกของเส้นทางขบวนการค้านอแรดข้ามชาติรายนี้ของทีมข่าว พบว่าเส้นทางของกระเป๋าใบดังกล่าวต้นทางเดินทางมากับทางสายการบินเคนยาเที่ยวบินKQ886 ซึ่งขนถ่ายมาในตู้ขนส่งสัมภาระ และถูกนำขึ้นสายพานRC–9 จะขึ้นสายพานในลำดับที่9 ในเวลาประมาณ 12.55 น. ซึ่งจะเป็นเวลาที่ใกล้เคียงกับทางด้านนางสาวกานต์สินี อนุตรานุศาสตร์ เดินทางมาจากประเทศเวียดนาม ถึงยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในเวลา 11.10 น. ด้วยเที่ยวบินVZ-971 และผ่านช่อง ตม. ช่องทางออโต้ เวลา 12.49 น. ซึ่งจะใกล้เคียงกับเส้นทางของกระเป๋าบรรจุนอแรดใบดังกล่าว

สำหรับนางสาวกานต์สินี จะต้องมารับกระเป๋าสัมภาระของตนเองที่สายพานลำเรียงที่16 แต่ภายหลังจากนางสาวกานต์สินี ผ่านการตรวจด่าน ตม.แล้ว ก็ไม่ได้เดินไปรอรับกระเป๋าของตนเองที่สายพาน16 แต่อย่างใด และทำทีตบตาเจ้าหน้าที่ ในเวลา 13.09 น. พบว่าเดินผ่านสายพานที่11 มุ่งหน้าตรงไปที่สายพาน9 ซึ่งเป็นสายพานที่กระเป๋านอแรดถูกลำเลียงขึ้นมาก่อนจะเข้าห้องน้ำด้านหลังสายพาน9 เข้าไปด้วยตัวเปล่า และใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำประมาณ 2-3 นาที ก่อนจะพบว่าเดินออกมาจากห้องนำโดยมีกระเป๋าลากสีดำออกมาด้วย จากนั้นพบว่าเดินผ่านไปที่สายพาน11 ย้อนกลับไปที่สายผ่าน10 โดยมีกระเป๋าลากติดมือไปด้วยหนึ่งใบ ส่วนกระเป๋าของนางกานต์สินีนั้น เจ้าหน้าที่พบว่ากลายเป็นกระเป๋าสัมภาระที่ถูกลืมทิ้งไว้เป็นสัมภาระหลงลืมของผู้โดยสาร ซึ่งหมายความว่านางสาวกานต์สินีจงใจทิ้งกระเป๋าสัมภาระของตนเอง ที่เดินทางมาจากเวียดนาม จากนั้นผู้ต้องหาทั้งสองพร้อมด้วยกระเป๋าที่บรรจุนอแรดเดินทางออกมาพบกับทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจและอัยการ ก่อนจะมาถูกด่านศุลกากรเรียกตรวจ ทำให้ผู้ต้องหาทั้งสองอาศัยช่วงชุลมุนหลบหนีไปได้

จากหลักฐานการแกะรอบเส้นทางขบวนการค้านอแรดข้ามชาติในครั้งนี้ รวมถึงพฤติกรรมของผู้ต้องหาทั้งสองนั้นสอดคล้องกับหลักฐานที่ปรากฎในเชิงการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ จึงน่าเชื่อว่าผู้ต้องหาทั้งสองมีส่วนรู้เห็นกับขบวนการค้านอแรดข้ามชาติรายนี้ ส่วนจะมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่นั้น คงต้องเป็นหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องที่จะสอบสวนขยายผลสาวให้ถึงผู้ร่วมขบวนการค้านอแรดที่หลายฝ่ายทั่วโลกกำลังจับตาการทำงานของเจ้าหน้าที่ไทยว่าจะสามารถเปิดโปรงกระบวนการนี้ได้มากน้อยแค่ไหน

 

cr.พงศกร / สมุทรปราการ