กกต.ยันไม่จริง กล่าวหาบัตรเสีย 3 ล้านใบ ชี้ทำหน้าที่ซื่อสัตย์ สุจริต และเที่ยงธรรม ไม่มีบุคคลหนึ่งบุคคลใด หรือพรรคการเมืองใดสามารถครอบงำได้

วันที่ 1 มิ.ย.66 เพจ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง โพสต์ว่า ตามที่นายลอย ชุนพงษ์ทอง เป็นผู้โพสต์ข้อความชื่อบัญชี Youtube “Loy Chunpongtong” โพสต์ข้อความเป็นความเท็จว่า “กลโกง กกต. หน่วย หรือเปล่า ? เสีย 3 ล้านใบ หรือกาเบอร์ไม่ถูกใจ?” และกล่าวอ้างว่า หน่วยงานชื่อ ANFREL ให้ข้อมูลว่า “การเลือกตั้งครั้งนี้ มีบัตรเสีย 3 ล้านใบ โดยบัตรเสียแบ่งออกเป็นก้าวไกล 95% เพื่อไทย 3% อื่นๆ 2% แต่ไม่พบบัตรเสียของรวมไทยสร้างชาติและพลังประชารัฐ…..เวลาซื้อ กกต. จะซื้อแค่ตัวประธาน กกต. เท่านั้น”

กกต.ขอชี้แจงว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถใช้สิทธิลงคะแนนเสียงที่จะเลือกผู้หนึ่งผู้ใดหรือพรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใด เพื่อมาทำหน้าที่เป็นผู้แทนของตนเองได้ด้วยการลงคะแนนเสียงอันเป็นความลับ หลังจากลงคะแนนเสียงเสร็จสิ้น กปน. จะเป็นผู้ดำเนินการขานคะแนน โดยการวินิจฉัยว่า บัตรเลือกตั้งฉบับใดเป็น “บัตรดี” หรือ “บัตรเสีย” หากเป็นบัตรเสีย กปน. ไม่น้อยกว่า 2 คน จะเป็นผู้ลงลายมือชื่อและสลักหลังบัตรว่า “เสีย” ในทันที พร้อมทั้งระบุเหตุผลว่าเป็นบัตรเสียเพราะเหตุใดต่อหน้าประชาชนและตัวแทนของพรรคการเมืองซึ่งเป็นผู้สังเกตการณ์ในทุกหน่วยเลือกตั้ง กปน. จึงไม่สามารถกระทำการใด ๆ ได้ตามอำเภอใจ

ส่วนข้อกล่าวอ้างที่ว่า “มีบัตรเสีย 3 ล้านใบ ส่วนใหญ่เป็นของพรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย และอื่นๆ โดยไม่พบว่าบัตรเสียในจำนวนดังกล่าว เป็นของพรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ

ขอชี้แจงว่า ข้อความดังกล่าวที่นำมาโพสต์ไม่เป็นความจริง การปฏิบัติหน้าที่ของกกต. (กปน.) และปธ.กกต. (ปธ.กปน.) ในทุกหน่วยเลือกตั้งที่ปฏิบัติงานอยู่ทั่วประเทศ ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และเที่ยงธรรม ไม่มีบุคคลหนึ่งบุคคลใด หรือพรรคการเมืองใดสามารถครอบงำได้

การเลือกตั้งในปัจจุบัน มีบัตรเสียแบบแบ่งเขต จำนวน 1,457,899 ใบ และแบบบัญชีรายชื่อ จำนวน 1,509,836 ใบ รวม 2,967,735 ใบ คิดเป็น 3.69 % สำหรับการเลือกตั้งฯ ปี พ.ศ.2562 บัตรเสีย คิดเป็น 5.58 % ลดลงไปจากเดิม 1.89 % เห็นได้ว่า การจัดการเลือกตั้งของ กกต. เป็นการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงาน จึงทำให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ทำให้บัตรเสียมีจำนวนลดลงน้อยลงไปกว่าเดิม

คำเตือน ผู้ใดแชร์ข่าวดังกล่าวด้วยวิธีการกดไลค์ กดแชร์ รีทวิต รีโพสต์ ทางยูทูบ ทางติ๊กต๊อก ส่งต่อทางไลน์ไปยังกลุ่มต่างๆ หรือช่องทางสื่อสารอื่นๆ จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พ.ศ.2560 มาตรา 14 จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ