กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค บูรณาการร่วมกับ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ภายใต้การอำนวยการของ  พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก.ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผบก.ปคบ., พล.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ.,พ.ต.อ.เชษฐ์พันธ์ กิติเจริญศักดิ์ ผกก.1 บก.ปคบ., พ.ต.อ.ไกรวิศท์ แสนทวีสุข ผกก.1 บก.ปอศ. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ  กก.1 บก.ปคบ. บูรณาการร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปอศ. ได้ร่วมกันจับกุมบุคคลตามหมายจับของศาลอาญา

 

พฤติการณ์ในการจับกุม โดยเมื่อวันที่ 29 พ.ย.2565 ที่ผ่านมา นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หรือ นอท CEO กองสลากพลัส พร้อมนายศุภชัย ทิพย์สิทธิ์ ทนายความ นำหลักฐานเข้าพบพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) เพื่อกล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับบริษัท ดีโชติช่วง กรณีขายสลากกินแบ่งรัฐบาลซ้ำ ไม่มีสลากฉบับ ซึ่งเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวน กก.1 บก.ปคบ. ได้ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ ตำรวจ กก.1 บก.ปอศ. ทำการสืบจนทราบถึงผู้กระทำความผิดและได้รวบรวมพยานหลักฐานและขออนุมัติหมายจับจำนวน 1 หมาย ในวันที่ 6 ธ.ค.2565 ข้อหาตามหมายจับฐาน “โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา,ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน”

 

และจากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่า บริษัทดีโชติช่วง ดำเนินธุรกิจจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยจำหน่ายผ่านแม่ทีม ซึ่งผู้ซื้อจะต้องซื้อสลากผ่านแม่ทีมที่มีคนแนะนำเท่านั้นถึงจะซื้อได้โดยมีแพคเกตให้เลือกซื้อ 1 ใบ ราคา 80 บาท, 10 ใบราคา 800 บาท และ 20 ใบราคา 1,600 บาท  โดนโอนเงินค่าสลากฯ เข้าบัญชีของบริษัทฯ ตรวจสอบธุรกรรมการเงินโอนเงินมีเงินหมุนเวียนในบริษัทกว่า 30 ล้านบาท และตรวจสอบธุรกรรมเส้นทางการเงินของนายณัฐฯ กรรมการบริษัทฯ พบว่าโอนไปให้ น.ส.มาลัยฯ กว่า 29 ล้านบาท จากการตรวจสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ บริษัทดีโชติช่วง นำมาจำหน่ายนั้นพบว่ามีลายน้ำเหมือนกันทุกฉบับ ซึ่งถ้าเป็นสลากฉบับจริงจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลนั้นลายน้ำแต่ละฉบับจะไม่เหมือนกัน และฟอนต์ตัวหนังสือไม่เหมือนกับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลจัดพิมพ์มาแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ขยายผลดำเนินคดีกับบุคคลที่เกี่ยวข้องต่อไป

 

ต่อมาในวันที่ 14 ธ.ค.2565 เวลา 12.30 น. ได้จับกุมนายณัฐ อายุ 32 ปี บริเวณหน้าวัดพระธาตุซ่อนแก้ว ต.แคมป์สน อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นกรรมการบริษัท ดีโชติช่วง จำกัด บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 2745/2565 ลง 6 ธ.ค.2565 ในความผิดฐาน "โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา,ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน”