“อาย วราไพรินทร์” กับ “เคนโด้ เกรียงไกรมาศ” เผยถูกข่มขู่ หลังลงมาลุยเเฉเส้นทางคดีเเชร์ Forex-3D

 

คือเราเป็นบุคคลกลุ่มแรกๆ ที่ออกมาเคลื่อนไหวในคดี Forex-3D ในตอนนี้?

เคนโด้ : จริงๆ แล้วผมติดตามตั้งแต่วันแรกเลย โดยผู้เสียหายส่งเอกสารทั้งหมดมาให้แล้วก็ทำข่าวกันไปเรื่อยๆ จุดสำคัญคือการพาผู้เสียหายไปที่ DSI เราต้องมีคนดังพาไป เพราะทุกคนรู้ว่าถ้าไม่นั้นมันจะไม่อยู่ในกระแสข่าว มันก็จะไม่เกิดแรงขับเคลื่อนในการช่วยผู้เสียหาย ก็เลยทักหาน้องอายว่าจะพาผู้เสียหายไปที่ DSI ทางน้องก็เลยตอบตกลง

อาย : รู้สึกว่าวันนั้นเราก็คือผู้เสียหายหนึ่งในนั้นแล้ว แต่เรายังไม่แน่ใจเราก็เลยโพสต์ Facebook ด้วย พอเราโพสต์ออกไปก็จะมีอีกหลายคนที่เสียหายทักมาหา เราก็เลยตกใจว่าไม่ใช่แค่เราแล้วที่โดน ทุกคนก็มีผลกระทบด้วยเช่นกัน เราก็เลยฟังข้อมูลจากพี่เคนโด้ แล้วรู้สึกว่ามันมีหลักฐานเยอะมาก เราก็เลยต้องออกมาเคลื่อนไหวในวันนั้น เพื่อที่จะทำให้คดีกลายเป็นคดีพิเศษให้ได้ เพราะต้องการให้กระบวนการทางกฎหมายออกมาช่วยเหลือ

พูดถึงความเสียหายของเราหน่อยมากน้อยเเค่ไหน?

อาย : ของเราอยู่ประมาณ 2 ล้าน ที่เราลงไปเล่น ซึ่งต้องบอกว่ามันเป็นอะไรที่น่าสนใจและน่าเชื่อถือมาก เลยรู้ว่าทำไมคนถึงไปเล่นได้ 50,000 กว่าคน เพราะว่าเขาน่าเชื่อถือและมีเเอปพลิเคชันที่น่าสนใจมาก แล้วคนที่เป็น CEO ก็มีความสามารถ แต่แค่สิ่งที่เขาทำมันส่งผลกับความเสียหายแก่ประชาชนเยอะมากจริงๆ

ได้ถูกแนะนำหรือเชิญชวนจากใคร?

อาย : คือเรารู้จักกลุ่มคนที่ทำงานอยู่ในบริษัทนั้น ซึ่งเขาเป็นรุ่นน้องเราแล้วก็จะใช้ชีวิตดูดี และกลุ่มคนรอบข้างก็ใช้ชีวิตดี ในฐานะที่เราเป็นนักลงทุนเราก็คิดว่ามันน่าเชื่อถือและมีน้องอีกคนหนึ่งไปลงเล่นเเล้วบอกว่ามันไม่ได้แย่นะ และมันก็ได้กลับคืนมา เราก็เลยลองตัดสินใจที่จะเล่นดู แล้วเราก็ศึกษาไปเรื่อยๆ ซึ่งเราไม่ได้ไปแนะนำใครต่อ และเราไม่คิดว่าวันหนึ่งมันจะกลายเป็นเรื่องขนาดนี้ ซึ่งเราก็เพิ่งจะรู้ว่าในสังคมมันมีแชร์ที่เล่นแบบนี้เยอะมาก จริงๆ มันมีอีกหลายวงการแชร์ที่น่าเชื่อถือและน่าสนใจ จนถึงขั้นจัดสัมมนาเลยก็มี เป็นการแนะนำคนไปเป็นทอดๆ อันนี้มันน่าจะจับสังเกตแล้วกับตัวเลขที่มันจะได้กลับมา

 

ระยะเวลาที่กว่าจะรู้ตัวนานเท่าไร?

อาย : ก็เรียกว่าประมาณหลายเดือนเกือบปีเหมือนกัน และประมาณเดือนเมษาปี 62 ทุกอย่างมันเริ่มจะหยุด มันก็จะมาช่วงที่เราจะเติมเงินแล้วเงินมันจะเข้า เราก็เลยรู้สึกว่ามันแปลกๆ คือเรารู้สึกว่าเราอยู่วงที่มันอยู่ใกล้กับฝ่ายบริหาร แต่เราไม่ได้ไปทำงานกับเขา เราก็ได้เห็นเขาเคลื่อนย้ายของมีค่าออกต่างประเทศ เราเลยรู้ข่าวนั้นเร็ว แล้วก็รีบมาบอกทางพี่เคนโด้ว่าเราต้องไปแล้วล่ะ

มีได้เงินคืนกลับมาบ้างไหม?

อาย : ก็ไม่ได้คืนเลย ทุนก็คือ 2 ล้าน แต่ที่เราได้มาคือประมาณ 6 แสน ก็จะเหลืออีกประมาณ 1.4 ล้าน ถ้านับจากที่เราเสียหายจริงๆ ก็ล้านกว่า

พอออกมาเคลื่อนไหวเยอะขึ้น ก็มีโดนข่มขู่ด้วยจริงใช่ไหม?

อาย : จริงๆ แล้วในวันนั้นเราต้องบอกว่าหลายคนบอกว่าเขามีเส้นสายเยอะ เขามีนักการเมือง และมีอีกหลายส่วนที่เป็นผู้ใหญ่อยู่เบื้องหลังเยอะมาก ซึ่งเราก็คิดว่าตอนก็ยังมีการหาเสียงกันอยู่ด้วย ณ จุดนั้นเราก็เลยคิดว่าเราจะกลัวอะไรกับสิ่งนี้ เพราะสิ่งที่เราทำมามันพิสูจน์ให้เห็นว่ามันจะต้องมีคนออกมาพูดหรือต้องมีคนออกมาเป็นกระบอกเสียงเราก็เลยตัดสินใจออกมาแต่มีหลายควายก็บอกให้ โดยโดนขู่ว่าถ้าไม่หยุดมันจะต้องเกิดอะไรขึ้นบ้าง ให้อยู่นิ่งๆ ไม่ต้องออกมาเลยก็ได้ ถ้าไม่ได้อยากหายไป

เคนโด้ : จริงๆ มันมีความกดดันเกิดขึ้นระหว่างที่ทำคดีนี้ ไม่ใช่แค่น้องนะซึ่งเราทำตั้งแต่ต้น ก็ได้รับแรงเสียดทานและแรงกดดัน การท้าทายข่มขู่ต่างๆ ซึ่งน้องก็เจอในลักษณะที่คล้ายกัน คือคนที่ออกมาอยู่ในแสงเวลาพูดถึงเรื่องนี้แล้วทำให้มีคนเสียประโยชน์มากมาย ณ วันนั้นเราอยากเลิกนะ เพราะมันจะทำให้เกิดการโดนข่มขู่แต่สุดท้ายเราเห็นผู้เสียหายมากมาย ถ้าเราไม่ทำไม่เดินหน้าต่อเขาก็จะไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่สุดท้ายก็ได้รับเป็นคดีพิเศษของ DSI จนสืบเนื่องมาถึงปัจจุบันนี้

มีการโดนข่มขู่ถึงขั้นไหนบ้าง?

อาย : คือประมาณว่าให้หยุดให้นิ่งที่เหลือให้ลองคิดเอาเอง ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะไม่แสดงกับเราตรงๆ แต่คนที่โดนเต็มๆ คือผู้เสียหายที่อยู่ในกลุ่มของเรา ซึ่งเคยโดนประมาณว่าคนที่คุณรักอยู่ไหน ลูกคุณญาติคุณอยู่ไหน เป็นใครเขาก็จะไปตามเอาข้อมูล เพื่อให้คนเหล่านั้นหยุดเคลื่อนไหว เพราะบางทีเราก็เคยคิดที่จะท้อเหมือนกัน ว่าจะต้องอยู่ยังไง แต่เราก็จะบอกว่าเราอยู่ในที่แจ้ง ถ้าเราเป็นอะไรไปมันต้องมีคนที่เขาต้องเห็นอยู่แล้ว ว่ามันต้องไปทางไหน มันต้องมีความเกรงกลัวอยู่บ้าง ดังนั้นสิ่งที่เราทำมันได้คือหยุดสิ่งเหล่านี้ และหยุดวงการแชร์ได้เยอะมากๆ ให้เขาคิดถึงคนที่เขาฆ่าตัวตาย เป็นโรคซึมเศร้า ที่เป็นหนี้ ที่อยู่ตามต่างจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ จนยากลำบากว่าสิ่งที่เรากล้าออกมาทำมันยังมีผลดีกับพวกเขา

เคนโด้ : คือคนที่ออกมาเนี่ย หรือคนที่ข่มขู่ก็คือคนที่ยังเชื่อใน CEO ของเขา เพราะในช่วงที่เกิดเหตุแรกๆ เราก็โดนเยอะมาก ก็มีการทำหนังสือมาถึงต้นสังกัดเรา มีการท้าทายจะทำร้ายร่างกาย พอเราไปตรวจสอบดูซึ่งคนพวกนี้คือเขายังเชื่อใน CEO ของเขา แล้วก็ไม่มั่นใจว่าเราจะมาแชร์ทำไม ซึ่งเขาารอได้เงินอยู่กลายเป็นว่ากลับจะไม่ได้เพราะว่าเราหรือเปล่า มันก็เลยจะทำให้เราหยุดนำเสนอข่าวต่างๆ ไม่ได้

อาย : ในกลุ่มของเรา คือเราต้องดูว่าสิ่งที่เราออกมาทำมันขัดผลประโยชน์กันหรือเปล่าหรือเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไหม คือเราออกมาเพื่อให้รู้ว่าเราไม่ได้ออกมาทำร้ายใคร ไม่ได้มีเจตนาให้ใครต้องมาเข้าคุก เห็นคนเข้าคุก คือเราไม่ได้รู้สึกดีเลย เราไม่ได้อยากเห็นใครทำผิด แต่เราแค่อยากบอกว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่ควรเกิดขึ้น เพราะเราไม่รู้เลยว่าใครทำผิดหรือไม่ทำผิด ใครจะเข้าคุกหรือไม่ เพราะมันไม่ใช่เรามันเป็นกระบวนการยุติธรรมเป็นการตัดสินว่ามีหลักฐานมากน้อยแค่ไหน เพราะการที่เราออกไปพูดตามสื่อที่ต่างๆ อาจจะทำให้คนเขาติดคุกเราไม่ได้บอกเลยว่าไม่ได้อยากให้ใครต้องมาเจอชะตากรรมแบบนี้ เพราะในอนาคตก็ไม่ได้อยากให้ใครต้องมาเจอ เพราะบางทีคนดีๆ ที่ติดคุก เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์