เปิดเส้นทางชีวิต "ชินโซ อาเบะ" นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ผู้ครองตำแหน่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์

 

ชินโซ อาเบะ ถือเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองของญี่ปุ่น โดยรับตำแหน่งครั้งแรกช่วงปี พศ. 2549-2550 และอีกครั้งในปี 2555 จนถึง 2563

โดยประวัติในวัยเด็ก เขาเกิดในกรุงโตเกียว ในครอบครัวนักการเมือง ซึ่งทั้งตาและลุงทวด ต่างเป็นนายกรัฐมนตรี ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะที่บิดา ดำรงตำแหน่งระดับสูงในรัฐบาล ทั้งรัฐมนตรีการค้าระหว่างประเทศและรัฐมนตรีต่างประเทศ

เส้นทางการเมืองของอาเบะ เริ่มต้นขึ้นในปี 2525 หลังลาออกจากบริษัทโกเบ สตีล เพื่อเข้ารับหน้าที่ในรัฐบาล ซึ่งรวมถึงตำแหน่งผู้ช่วยในกระทรวงต่างประเทศและเลขาธิการพรรคเสรีประชาธิปไตย หรือพรรคแอลดีพี

อาเบะได้รับเลือกเป็น สส. ครั้งแรกในปี 2536 และได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ในปี 2548 ก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่เก้าอี้ผู้นำประเทศ โดยได้รับเลือกให้ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี แทนนาย ยาซูโอะ ฟูกูดะ ในเดือนกันยายนปี 2549 แต่ดำรงตำแหน่งได้เพียง 12 เดือน ก่อนที่จะประกาศลาออกท่ามกลางกระแสความนิยมที่ตกต่ำและปัญหาสุขภาพ

กระทั่งปี 2012 นายอาเบะ ได้รับเลือกให้กลับมาทำหน้าที่ประธานพรรคแอลดีพี ก่อนจะนำพรรคคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายและขึ้นรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 ตามด้วยสมัยที่ 3 และ 4 ซึ่งผลงานเด่นของนายอาเบะ คือยุทธศาสตร์ อาเบะโนมิกส์ มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจญี่ปุ่น และส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชนที่ซบเซา ด้วยมาตรการ "ศร 3 ดอก" คือ นโยบายแก้ไขปัญหาเงินฝืด นโยบายการคลัง และยุทธศาสตร์การเติบโตด้วยการมุ่งปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจ

ขณะที่นายอาเบะ ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 ส.ค.2563 เนื่องจากอาการป่วยจากลำไส้ใหญ่อักเสบ ประกอบกับภาวะสุขภาพที่ไม่แข็งแรง

ทั้งนี้ อาเบะ เคยเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เมื่อเดือนมกราคม ปี 2556 โดยในขณะนั้นถือเป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนแรก ที่มาเยือนไทยในรอบ 11 ปี เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่าง 2 ประเทศ

การเยือนของอาเบะ มีขึ้นหลังจากที่ไทยเผชิญภัยพิบัติน้ำท่วมใหญ่ แต่เขายังคงมั่นใจว่า ไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุนและไม่ย้ายฐานการผลิต แม้ว่าผู้ประกอบธุรกิจของญี่ปุ่นจะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ขณะที่มูลค่าการลงทุนของบริษัทญี่ปุ่นในไทย ณ ขณะนั้นสูงถึง 3.1 แสนล้านบาท

ขอบคุณภาพจาก Facebook : Prime Minister's Office of Japan