เปิดละเอียด! พราน 5 คน ยิงเสือ ยื่นหนังสือร้อง กสม. ขอความเป็นธรรม หลังครอบครัวถูกไล่ออกจากอุทยานเขาเเหลม วอนอย่าเหมารวมความผิด ญาติพี่น้องไม่เกี่ยวข้องกับคดี

 

เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายกูกือ ยินดี เป็นตัวเเทนชาวบ้านหมู่บ้านปีล็อกคี่ อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเเห่งชาติ (กสม.) เพื่อขอความเป็นธรรมเเละความช่วยเหลือเร่งด่วน หลังจากถูกดำเนินคดีข้อหาล่าสัตว์ป่าคุ้มครอง ครอบครองอาวุธปืน เเละนำวัวมาเลี้ยงในพื้นที่อุทยานเเห่งชาติทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี  มีรายละเอียด ดังนี้ 

เนื่องด้วยข้าพเจ้า นายกูกือ ยินดี นายศุภชัย เจริญทรัพย์ นายรัชชานนท์ เจริญทรัพย์ นายจอแห่ง พนารักษ์ นายโซเอ ซึ่งเป็น 5 ผู้ถูกดำเนินคดีเสือโคร่ง ในเขตอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นการยิงเสือโคร่ง การมีอาวุธครอบครอง เพื่อป้องกันฝูงวัว ควาย ที่เสือได้เข้ามากัดกิน เป็นอาหารเป็นจำนวนมากกว่า 30 ตัว และปัจจุบันก็ยังคงเกิดขึ้นเกือบทุกวัน

"พวกผมเป็นแค่เด็กเลี้ยงวัว ควาย ไมใช่พรานใจโหด เรายิงเพื่อป้องกันวัว ควาย ทรัพย์สินที่เป็นรายได้หลักในการยังชีวิต และที่สำคัญพวกผมได้นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาอนุรักษ์พื้นป่าและต้นน้ำ จากเรื่องราวการฆ่าเสือ 2 ตัว ในป่าทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี หากสื่อมวลชนและสังคมจะให้ความเป็นธรรม มองในมุมกลับของชาวบ้านและพวกผมตาดำ ๆ ต้องเจอกับความไม่ยุติธรรม"

หนังสือฉบับดังกล่าว ระบุต่อว่า ความเป็นอยู่ของชาวบ้านหมู่บ้านปีล็อกคี่ อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ประกอบด้วย ประชากรประมาณจำนวน 1,638 คน 428 ครัวเรือน (ข้อมูล 2564) เป็นพี่น้องส่วนใหญ่เป็นคนไทย เชื้อสายกะเหรี่ยง มอญ และคนไทยพื้นราบ ที่ได้อพยพย้ายถิ่นฐานขึ้นมาที่สูง น้ำไม่ท่วมถึง เนื่องจากได้รับผลกระทบการสร้างเชื่อนวชิราลงกรณ หรือเขื่อนเขาแหลมที่เป็นชื่อเดิม ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกร มีบ้างที่ลูกหลาน ออกไปทำงานในตัวเมืองใหญ่ ที่นี่จะเรียกว่าไกลปืนเที่ยง แต่เพราะความห่างไกล และการเดินทางค่อนข้างลำบาก ทำให้ความเจริญยังเข้าถึงไม่มากพอ และนอกจากนี้ก็ได้ผลกระทบเรื่องการจัดการพื้นที่อยู่อาศัยและทำกิน เนื่องจากการกำหนดพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ การกำหนดสถานะบุคคลที่มีการสำรวจตกหล่นทำให้พี่น้องบางคนไม่ได้รับสัญชาติไทย

จากช่วงเวลาที่ต้องสูญเสียสัตว์เลี้ยงมากกว่า 30 ตัว ซึ่งประเมินมูลค่านับล้านบาท ขณะที่พวกเขามีรายได้ครัวเรือนเฉลี่ยเพียงปีละไม่เกิน 50,000 บาท จะเข้าใจถึงหัวจิตหัวใจที่ทำให้พวกเขาซึ่งรักในวิถีธรรมชาติต้องระดมกำลังมาปกป้องชีวิตสัตว์เลี้ยงของพวกผม วิถีตามปกติชองชาวบ้านกะเหรี่ยงปีล็อกคี่ ต.ปิล๊อก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เป็นชุมชนที่ต้องการความสงบ เป็นชุมชนต้นน้ำที่นำหลักกสิกรรมธรรมชาติมาพัฒนาคุณภาพชีวิต และเริ่มเห็นผลสำเร็จในการแก้ปัญหาใช้สารเคมี มีการทำฝายชะลอน้ำ ฝายดักตะกอน สร้างป่าเปียกเป็นแนวกันไฟป่า มีการปลูกป่าเพิ่มเติมในพื้นที่ทำกิน ทำให้ช่วงวิกฤตโควิดที่ผ่านมา ชาวบ้านจำนวนมากสามารถฝ่าวิกฤต ด้วยการพึ่งพาตนเองและแบ่งบันได้ ลูกหลานคนรุ่นใหม่ก็พากันกลับมาพัฒนาแปลงเกษตรให้มีผลผลิตมากขึ้น

ชาวบ้านประมาณกว่า 50 ครอบครัวทำการเลี้ยงสัตว์เป็นอาชีพหลัก โดยจะเลี้ยงวัวและควายในทุ่งหญ้าริมขอบอ่างเก็บน้ำเขื่อนชิราลงกรณ แล้วพอหลังฤดูฝน น้ำในเขื่อนจะสูงท่วมพื้นที่ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ก็จะย้ายสัตว์ไปหากินในป่าบนภูเขาแทน จำนวนสัตว์เลี้ยงจากการสำรวจของปศุสัตว์อำเภอ มีควายมากกว่า 1,500 ตัว วัวมากกว่า 1,100 ตัว ส่วนอาชีพรองของชาวบ้านคือ ทำการเพาะปลูก ทำไร่มันสำปะหลัง สวนเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ปลูกผัก ข้าวไร่ และพืชผลการเกษตร และมีการนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาพัฒนาการทำกสิกรรม ช่วยแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยที่ทำกิน และมีการสร้างกระบวนการความเข้าใจระหว่างชาวบ้านและอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ซึ่งก็เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นหลังมีปัญหามายาวนานเรื่องที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน

จนกระทั่ง ประมาณเดือน ต.ค. 2564 ที่ผ่านมา ชาวบ้านพบว่า วัว ควาย ที่เลี้ยงไว้บนภูเขา ได้ถูกเสือกัดกิน และสูญหายไปหลายตัว ซึ่งจำนวนมากกว่า 30 ตัว เป็นปัญหาใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จึงสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านเป็นอย่างมาก และยิ่งดูเหมือนนับวัน เสือก็จะยิ่งรุกเข้ามาหากินใกล้หมู่บ้านมากขึ้น ๆ ทุกที สร้างความหวาดผวาให้กับชาวบ้านลูกเด็กเล็กแดงเป็นอย่างมาก

ชาวบ้านส่วนหนึ่งให้ข้อมูลเสริมว่า "ปีไหนมันสัมปะหลังราคาไม่ดี เม็ตมะม่วงหิมพานต์ราคาไม่ดี ก็มีวัวนี่แหละไว้ขาย เอาเงินจากการขายวัวขายควายนี้ไว้ใช้จ่ายในครัวเรือน ไว้ส่งลูกเรียน เพราะฉะนั้นเราจึงหวังผลจากการเลี้ยงวัวเลี้ยงควายนี่แหละค่ะ"

เมื่อมีเสือจำนวนมากกว่าปกติเข้ามากินสัตว์เลี้ยง ชาวบ้านจึงต้องสร้างเถียงนา หรือ กระต๊อบ เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยในการเฝ้าระวังความปลอดภัยให้กับสัตว์เลี้ยงในหลายจุดในป่าบนเขา จึงนำมาถึงเหตุการณ์ที่จำเป็นต้องรักษาทรัพย์สินและชีวิตของพวกเขาเอง ความพยายามในการปกป้องทรัพย์สินอันมีค่าของพวกเขา กำลังถูกตีค่าจากสังคมและสื่อมวลชนว่าเป็นความโหดร้ายป่าเถื่อน หากเปิดใจ เห็นใจ จะเข้าใจ ถึงความเป็นจริงในมุมชีวิตของชาวบ้านอย่างแท้จริงและในปัจจุบัน กรณีเสือกินวัวชาวบ้าน ชาวบ้านจึงยิงเสือเพื่อไม่ให้มากินวัว และเป็นอันตรายต่อชาวบ้านลูกเด็กเล็กแดง เมื่อยิงแล้วชาวบ้านนำเนื้อมาทำอาหารกิน เพื่อไม่ให้การตายของเสือนั้นต้องสูญเปล่า ซึ่งชาวบ้านผู้กระทำผิดจำนวน 5 ราย ได้มอบตัวรับสารภาพ รอวันติดคุก แต่เรื่องกลับไม่จบที่ชาวบ้านผู้กระทำความผิดถูกดำเนินคดี

หากแต่ว่า วันอังคารที่ 18 ม.ค. 2565เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลม อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ได้เอามติ ครม. 30 มิ.ย. 2541  เป็นป้ายไวนิลขนาดใหญ่มาติดไว้ที่หมู่บ้าน บ้านพักอาศัย และออกหนังสือคำสั่งขับไล่ครอบครัวลูกเมียญาติพี่น้องของผู้กระทำความผิด 5 ราย ให้ย้ายบ้านเรือนออกไปจากเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ซึ่งตามหลักกฎหมายพวกผมทั้ง 5 คน ที่กระทำความผิด รอคำพิพากษาของศาล ก็เป็นไปตามความผิดเฉพาะตัวที่เขากระทำความผิด คือความผิดยิงเสือ มีชากสัตว์ หากแต่ซึ่ง ลูกเมีย พ่อแม่ญาติพี่น้องของกระผม ไม่ได้กระทำความผิดด้วย แต่ต้องถูกเหมาเข่ง ยัดเยียดให้รับผิดชอบความผิดร่วมด้วย

โดยถูกสั่งให้รื้อบ้านย้ายออกจากที่ทำกินที่เขาอยู่อาศัยมาแต่เกิด ต้องออกจากพื้นที่ภายใน 30 วัน ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อครอบครัวของพวกผม ที่มีทั้งพ่อ แม่ ญาติพี่น้อง ลูก หลานตัวเล็กตัวน้อย เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เป็นการตีตราเลือกปฏิบัติ และด้วยเหตุนี้ มันคือโอกาสที่ทางเจ้าหน้าที่อุทยานใช้ช่วงจังหวะนี้เพื่อขับไล่ขาวบ้านให้ออกจากเขตอุทยานตามเจตนารมณ์ที่เขาตั้งใจไว้

เนื่องจากสถานการณ์การสู้รบในประเทศเมียนมา สถานการณ์สู้รบลุกลามบานปลายตลอดพื้นที่รอยต่อเขตผืนป่าแนวตะเข็บชายแดนไทย-เมียนมา ตั้งแต่ชายแดนเขตพื้นที่ติด จ.แม่ฮ่องสอน เลาะผ่าน จ.ตากลงมาถึงชายแดน จ.กาญจนบุรี จึงเป็นสาเหตุให้สัตว์ป่าในเขตอุทยานแห่งชาติทะยินทะยี ประเทศเมียนมา ที่มีผืนป่าติดต่อกับเขตไทย ได้หนีเสียงปืนเสียงระเบิดที่ดังอยู่อย่างต่อเนื่อง

การสู้รบได้ไล่กวาดต้อนสัตว์ป่าจากเขตฝั่งเมียนมา ลงมาจากภาคเหนือถึงภาคตะวันตกและทะลักเข้าเขตป่าอุทยานฝั่งไทย ไม่ต่างอะไรกับชาวบ้านฝั่งเมียนมาที่หนีตายข้ามมาหลบอยู่ฝั่งไทยเช่นเดียวกัน ขาดแคลนทั้งอาหารและที่อยู่อาศัย เมื่อสัตว์ป่าโดยเฉพาะเสือเมื่ออพยพมาอยู่หนาแน่นร่วมกับชาวบ้านในเขตป่าดั้งเดิม จึงเกิดความอันตรายความหวาดกลัวต่อชีวิตผู้คนชาวบ้านลูกเด็กเล็กแดงและสัตว์เลี้ยงของชาวบ้าน

หากเป็นกรณีช้างป่ามากินพืชไร่ของชาวบ้าน ชาวบ้านก็มีวิธีจัดการโดยใช้ประทัดจุดทำให้เสียงดังเพื่อขับไล่ได้บ้าง แต่ในกรณีที่เสือหิวอาหาร เวรกรรมจึงตกอยู่กับพวกผมตาดำ ๆ ที่ไม่สามารถจัดการอะไรได้เลยและยังต้องได้รับผลกระทบถูกดำเนินคดีติดคุกและไล่ที่อยู่อาศัยที่ทำกิน ดังนั้นครอบครัวผมตลอดจนญาติพี่น้อง ชาวบ้านหมู่บ้านปีล๊อกคี่ หมู่ 4 ต.ปีล็อก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ขอความเป็นธรรมและความช่วยเหลือในกรณีที่เกิดขึ้น กับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อหาแนวทางออกในการดำเนินชีวิตของพวกผม และชาวบ้านต่อไป