หมอปลานำผู้เสียหายจากศูนย์บำบัดวัดท่าพุราษฏร์บำรุง เข้าแจ้งความกองปราบ ระบุไม่มั่นใจในการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่

นายจีรพันธ์ เพชรขาว หรือหมอปลา และนายไพศาล เรืองฤทธิ์ นำผู้เสียหายจากศูนย์บำบัดวัดท่าพุราษฎร์บำรุง อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี ประมาณ 10 ราย เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนกองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปราม เพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับศูนย์บำบัดฯ ในข้อหาค้ามนุษย์ หลังจากก่อนหน้านี้มีการเข้าช่วยเหลือผู้ที่เข้ารับการบำบัดประมาณ 216 คน ซึ่งหมอปลาได้เข้าช่วยเหลือเมื่อวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา เนื่องจากได้รับการร้องเรียนจากกลุ่มอดีตผู้เข้ารับการบำบัดว่า มีขั้นตอนการบำบัดและรักษาไม่ถูกต้อง ไม่ถูกสุขลักษณะ มีการทำร้ายทรมานร่างกาย และจิตใจ โดยการให้อดอาหาร รวมถึงทำร้ายทุบตี

นอกจากนี้ยังพบว่า มีการเรียกรับเงินในการเข้ารับการบำบัด และเรียกเก็บค่าใช้จ่ายรายเดือน รวมทั้งหากต้องการออกจากศูนย์ก็มีการบังคับเรียกเก็บเงิน

หมอปลาเปิดเผยว่า หลังได้รับการร้องเรียน ตนพร้อมทนายความและสื่อมวลชนหลายสำนัก ได้ลงพื้นที่และเข้าไปตรวจสอบ พบสภาพความเป็นอยู่ย่ำแย่เหมือนนรกบนดิน ไม่ใช่ลักษณะของศูนย์บำบัดตามมาตรฐาน กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งหลังจากเข้าช่วยเหลือ ตนได้เข้าไปลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่ สภ.มะขามเตี้ย แต่รู้สึกว่าไม่มั่นใจในการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่เพิกเฉยและรู้สึกไม่ปลอดภัย จึงเข้ามาแจ้งความกับกองบังคับการปราบปรามเพื่อให้เกิดการดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา

หมอปลายังกล่าวด้วยว่า เงินและทรัพย์สินของผู้บำบัด ขอให้ทางศูนย์บำบัด ติดต่อคืนโดยเร็ว เพราะตอนนี้ยังมีเงินตกค้างอยู่หลักแสนบาท รวมทั้งโทรศัพท์มือถือที่ยังไม่ได้คืน เพราะเจ้าหน้าที่อ้างว่าเจ้าอาวาสมรณภาพ จึงไม่สามารถดำเนินการได้

ด้าน นายไพศาล ระบุว่า จากพฤติการณ์ของสถานบำบัดดังกล่าวเข้าข่ายค้ามนุษย์ เนื่องจากมีการทำเป็นขบวนการ ตั้งแต่จัดหาผู้บำบัด การนำพา การเรียกรับเงินผลประโยชน์ กักขังทรมานทำร้ายทุบตี และที่สำคัญพบว่ามีการเสียชีวิตในสถานบำบัดก่อนหน้านี้ 2-3 ราย และเหตุการณ์นั้นไม่มีการชันสูตรพลิกศพ โดยพบว่า มีกลุ่มข้าราชการตำรวจในหลายจังหวัดเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ และจังหวัดร้อยเอ็ด นอกจากนี้ยังมีอาสาสมัครในจังหวัดกาญจนบุรี ที่นำตัวผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเข้ามารับการบำบัด และเรียกรับผลประโยชน์จากผู้ที่เข้ารับการบำบัดในศูนย์ดังกล่าว

นายไพศาล กล่าวต่อว่า บางรายไม่ได้เป็นผู้เสพยาเสพติด แต่เป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีอื่น เช่น ปัญหาการทะเลาะ การทำร้ายร่างกายก็ถูกรวบนำมาไว้ที่แห่งนี้ ถูกตำรวจและเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้ต่อรองกับผู้ปกครองว่า หากให้บุตรหลานเข้ารับการบำบัดเป็นเวลา 1 ปี จะไม่ต้องถูกดำเนินคดี แต่ก็จะต้องมีค่าใช้จ่าบ

ด้านนายเอ (นามสมมติ) ผู้เสียหายระบุว่า หลังจากได้รับการช่วยเหลือรู้สึกดีใจมาก ส่วนตนเข้ารับการบำบัดในศูนย์บำบัดเป็นเวลา 9 เดือน ก่อนเข้าได้รับการเอ็กซเรย์ปอดเพียงอย่างเดียว ไม่มีการตรวจเลือดหาสารเสพติดตามขั้นตอนแต่อย่างใด ส่วนการใช้ชีวิตในแต่ละวัน เหมือนติดคุก ได้ทานข้าววันละ 1 มื้อ ต้องตื่นนอนตั้งแต่ 3.00 น. เพื่อทำวัตรสวดมนต์ หากเสียงสวดมนต์ดังไม่พอ ไม่ถูกใจเจ้าหน้าที่ วันนั้นจะถูกลงโทษไม่ให้รับประทานอาหารเช้า ซึ่งส่วนใหญ่ตลอดเวลาที่เข้ารับการบำบัดได้รับประทานอาหารเพียงวันละ 1 มื้อ ทั้งที่พ่อแม่ส่งเงินมาให้ทุกเดือน ขณะที่เมื่อมีหน่วยงานเข้ามาตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่ก็จะถูกปกปิด ผู้ที่เข้ารับการบำบัดก็ไม่สามารถจะชี้แจง หรือพูดอะไรได้ เพราะจะถูกทำโทษ

อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวนได้รับแจ้งความเอาไว้เพื่อดำเนินการตรวจสอบตามคำร้องทุกข์ ด้านทางทนายความ และหมอปลา ขอให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตรวจสอบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่นำพาผู้เสียหายมาที่ศูนย์บำบัดแห่งนี้ด้วย